นายกรัฐมนตรีเชิญชวนส่งความสุขปีใหม่ด้วยกระเช้าของขวัญ ของฝากจากผลิตภัณฑ์ชุมชน
ภาพ/ข่าว:คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนส่งความสุขปีใหม่ด้วยกระเช้าของขวัญ ของฝากจากผลิตภัณฑ์ชุมชน
คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 รณรงค์ใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นของขวัญ ของที่ระลึกเทศกาลปีใหม่ 2563
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นำ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ และคณะจัดแสดงกระเช้าของขวัญของฝากจากผลิตภัณฑ์ชุมชนต่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในวันประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์กระเช้าของขวัญ ของที่ระลึกสำหรับเทศกาลปีใหม่ 2563 ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบรณรงค์ให้ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ใช้ผลิตภัณฑ์ OTOP ผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นของขวัญ ของที่ระลึกเทศกาลปีใหม่ 2563
นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมกระเช้าของขวัญจากผลิตภัณฑ์ชุมชน รับมอบกระเช้าของขวัญปีใหม่จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ราคาไม่เกิน 3,000 บาท และรับมอบกระเช้าของขวัญปีใหม่จากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อีกทั้ง ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประชาสัมพันธ์ และร่วมกันสนับสนุนกระเช้าของขวัญผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อสร้างช่องทางการตลาดให้มากขึ้นและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในชนบท ทำให้เกิดการกระจายรายได้และส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในระดับฐานราก
นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดเตรียมกระเช้าของขวัญ ของที่ระลึก สาหรับเทศกาลปีใหม่ 2563 นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนชาวไทยภูเขาที่เป็นคนยากไร้ให้มีอาชีพ มีรายได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง ได้แก่ ชา กาแฟ ถั่วและธัญพืช ผลไม้ และผลิตภัณฑ์แปรรูปในชื่อการค้าโครงการหลวง และดอยคำ และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดตั้งขึ้นโดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อช่วยเหลือราษฎรในชนบทให้มีอาชีพเสริมและเพิ่มรายได้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาความยากจนในชนบท โดยเฉพาะราษฎรที่ประสบปัญหาในการเพาะปลูก หรือที่ว่างจากฤดูเพาะปลูกให้ได้มีงานทำ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการส่งเสริมจากมูลนิธิ ได้แก่ งานผ้า งานไม้ งานจักสาน งานเซรามิก ดอกไม้ประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์จากโครงการฟาร์มตัวอย่าง และเบ็ดเตล็ด อาทิ สมุดบันทึก กล่องผ้าไหม เป็นต้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากชุมชนนอกจากจะได้ของขวัญ ของที่ระลึกจากภูมิปัญญาและฝีมือของคนไทยในราคายุติธรรมแล้ว ยังช่วยสร้างงาน สร้างรายให้แก่คนในชุมชนทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตวัตถุดิบ สมาชิกของกลุ่ม ผู้ใช้แรงแรงงาน ภาคการขนส่ง ทำให้ประชาชนในชนบทมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่ามีเงินสะพัดจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวกว่า 1,000 ล้านบาท สาหรับผู้ที่สนใจของขวัญ ของที่ระลึกจากผลิตภัณฑ์ OTOP สามารถดูรายละเอียดผลิตภัณฑ์ได้ใน www.cdd.go.th และผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิโครงการหลวง สามารถเลือกซื้อได้จากร้านดอยคำทุกสาขา และสำหรับผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สามารถดูรายละเอียดได้ใน http://silapacheep.ohm.go.th/
ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ทุกจังหวัดมีกระเช้าของขวัญปีใหม่ OTOP ของแต่ละจังหวัดให้เลือกซื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ศาลากลางจังหวัด , ที่ว่าการอำเภอ และกลุ่ม OTOP ในทุกจังหวัด สำหรับส่วนกลางสามารถเลือกซื้อผ่านกรมการพัฒนาชุมชน ทาง Website www.cdd.go.th หรือโทรสั่งได้ที่ 064-993-9399 หรือ 063-271-3891 มีราคาตั้งแต่ไม่ถึง 100 บาท จนถึงไม่เกิน 3,000 บาท โดยกระเช้าของขวัญปีใหม่ OTOP ปีนี้ จะเน้นใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด และตั้งแต่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ช่วยรณรงค์ ขณะนี้ก็มียอดจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ OTOP แล้วกว่า 6.4 ล้านบาท เป็นยอดจองผ่านกรมการพัฒนาชุมชน 1.2 ล้านบาท ที่เหลือก็กระจายไปในทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/