เดชา สุวรรณสุก“ผมไม่ได้ทำน้องนุ่น”
เรื่องโดย:ยุทธ บางขวาง
คำสารภาพสุดท้ายนักโทษประหาร
เดชา สุวรรณสุก “ผมไม่ได้ทำน้องนุ่น”
น.ช.เดชา สุวรรณสุก อายุ 49 ปี หมายเลขประจำตัว 600/39 คดีข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และฆ่าผู้อื่นตายโดยทรมานหรือทารุณโหดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรค 2, 277 ทวิ (2), 285, 288, 90 หมายเลขคดีดำที่ 3424/39 หมายเลขคดีแดงที่ 4158/39 ศาลจังหวัดมีนบุรี เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2542 เวลา 10.00 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่า ในวันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษ ซึ่งก่อคดีข่มขืนฆ่าเด็ก แต่ยังไม่ได้แจ้งชื่อให้ข้าพเจ้าทราบแต่อย่างใด ในเวลานั้นข้าพเจ้าเดาว่าน่าจะเป็นน.ช.เดชา สุวรรณสุก สาเหตุเพราะนอกจากน.ช.พันธุ์ สายทองที่ก่อคดีข่มขืนฆ่าฯน้องอ้อมแล้ว ยังมีน.ช.เดชาที่อยู่ในข่ายที่น่าจะถูกยกฎีกา เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกับน.ช.พันธุ์ และเป็นคดีที่ดังมากในเวลานั้น ซึ่งเป็นที่สนใจและติดตามข่าวของคนทั้งประเทศ ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.มีนบุรี ได้รับแจ้งเหตุพบศพเด็กหญิงนอนเสียชีวิต ที่บ้านพักคนงานของบริษัทเท็กซ์โก้ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานทำไม้แปรรูป ตั้งอยู่ที่ถนนสุรินทวงศ์ แขวงและเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ จึงรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบศพด.ญ.สุกัญญา สุวรรณสุก หรือน้องนุ่น อายุ 4 ขวบ นอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องพักไม่มีเลขที่ของโรงงานดังกล่าว สภาพศพนอนหนุนหมอนอยู่ในห้อง ใบหน้าและลำตัวเขียวฟกช้ำ สวมชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีแดงลายดอก ตามลำตัวไม่พบบาดแผลถูกของมีคม
เจ้าหน้าที่ทำการตรวจพิสูจน์ศพในเบื้องต้น โดยถอดกางเกงออกเพื่อตรวจสอบบริเวณอวัยวะเพศ พบว่ามีรอยช้ำและมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและทวารหนัก ใกล้ศพพบยาหม่องวางอยู่ด้านข้าง 1 ตลับ โดยมีพี่ชายของน้องนุ่นยืนอยู่ใกล้ศพ และไม่แสดงอาการโศกเศร้าแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่า น้องนุ่นอาจจะถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้วฆ่าก็เป็นไปได้
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อไปยังนายเดชา สุวรรณสุก พ่อของน้องนุ่น ซึ่งเป็นคนงานตรวจเช็คไม้ของบริษัทธนชัย จำกัด และเป็นโรงไม้แปรรูปในเครือของบริษัทเท็กซ์โก้ฯ พร้อมกับนำตัวมาสอบสวนที่ส.น.มีนบุรี เนื่องจากมีพยานยืนยันว่านายเดชาเป็นคนขี้เหล้า เวลาเมาชอบกระทำรุนแรงทุบตีน้องนุ่นเป็นประจำ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาไว้ก่อน เพื่อรอผลพิสูจน์ที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายเดชาได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ข่มขืนและฆ่าลูกสาวของตัวเอง โดยบอกว่าสาเหตุที่ใบหน้าและลำตัวของน้องนุ่นมีรอยเขียวช้ำ เนื่องจากเมื่อสองวันก่อนได้ตกบันไดบ้านซึ่งมีอยู่ 4 ขั้น ส่วนเรื่องทุบตี น้องนุ่นยอมรับว่ามีบ้างเป็นบางครั้ง การที่พบว่ามีเลือดออกมาจากอวัยวะเพศนั้น นายเดชาให้การว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.39 เวลาประมาณ 10.00 น. ลูกชายของตนซึ่งค่อนข้างเป็นเด็กเกเร อยู่บ้านกับน้องนุ่นตามลำพังเพียง 2 คน พอตนกลับมาจากที่ทำงานถึงบ้าน ก็ได้สอบถามลูกชายว่าน้องนุ่นเป็นอะไรไป ทำไมถึงมีเลือดไหลออกมาจากเครื่องเพศ ซึ่งลูกชายก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ตนจึงไปซื้อยาแก้บวมและแก้อักเสบมาให้กิน และทายาเพื่อรักษาบาดแผล ตอนเช้าวันต่อมาตนได้ถอดเสื้อผ้าของน้องนุ่นออกไปแช่ไว้ในกะละมังเพื่อกลับมาซักในตอนเย็น จากนั้นจึงได้ไปทำงานตามปกติ และมารู้อีกทีว่าลูกสาวได้สิ้นใจไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นายเดชาถอดกางเกงพิสูจน์ พบว่าอวัยวะเพศของนายเดชามีรอยถลอก ซึ่งนายเดชาให้การว่าเกิดจากการสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง นอกจากนี้ยังพบรอยขีดข่วนที่มือซ้ายและหน้าอก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีนักข่าวไปเป็นจำนวนมาก นายเดชาได้ร้องขอความเป็นธรรมจากนักข่าวโดยบอกว่า ตนไม่เชื่อใจผลพิสูจน์ทางการแพทย์ และขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ข่มขืนและฆ่าน้องนุ่น นายเดชายังบอกด้วยว่าตนถูกตำรวจใช้กระบองไฟฟ้าจี้บังคับให้รับสารภาพว่าเป็นผู้ข่มขืนและฆ่าน้องนุ่นลูกสาวของตัวเอง
จากการผ่าพิสูจน์ศพของน้องนุ่น โดยสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ พบร่องรอยการถูกข่มขืนที่อวัยวะเพศจนฉีกขาดถึงทวารหนัก ในช่องคลอดมีน้ำอสุจิขังอยู่ ที่แก้มขวามีรอยฟันกัด ที่ใบหน้าและลำตัวมีรอยเขียวช้ำ สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากสมองบวม มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง และเสียเลือดมากจากบาดแผลที่อวัยวะเพศ
วันที่ 19 กรกฎาคม 2539 เวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.มีนบุรี ได้นำตัวนายเดชาไปทำการตรวจร่างกายที่สถาบันนิติเวชซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้ได้นำลูกชายของนายเดชาไปตรวจร่างกายด้วย ซึ่งในระหว่างเจาะเลือดเพื่อตรวจ ดี เอ็น เอ ลูกชายของนายเดชามีท่าทางตื่นกลัวและร้องให้อยู่ตลอดเวลา จากนั้นจึงนำทั้งคู่ไปทำการหล่อแบบฟัน เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับรอยแผลที่ใบหน้าของน้องนุ่น และผลการตรวจร่างกายนายเดชาไม่พบร่องรอยการถูกกระบองไฟฟ้าจี้แต่อย่างใด
ที่ส.น.มีนบุรี ภรรยาของนายเดชาซึ่งตั้งครรภ์ประมาณ 5 เดือน ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ โดยกล่าวว่าก่อนวันเกิดเหตุตนได้เดินทางไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อขอยืมเงิน และอยู่กับเพื่อนคนดังกล่าวเป็นเวลา 3 วัน ก่อนที่ตนจะเดินทางกลับบ้านมานั้น ได้ทราบข่าวจากทางโทรทัศน์ ตนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากและไม่เชื่อว่าสามีจะเป็นผู้ข่มขืนลูกสาวของตัวเอง เพราะนายเดชาเป็นคนมีการศึกษา โดยจบการศึกษาระดับอนุปริญญาจากจังหวัดอุบลราชธานี ปกติแล้วนายเดชาเป็นคนรักเด็ก และก่อนเกิดเหตุตนเห็นใบหน้าของน้องนุ่นบวมปูดมีรอยเขียวช้ำ เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ น้องนุ่นบอกว่าพลาดตกบันได ตนจึงหายาหม่องและยาแก้ช้ำมาทาให้ ส่วนบาดแผลที่คล้ายรอยฟันที่แก้มของน้องนุ่น เกิดจากรอยเกาของเด็กเอง ซึ่งนายเดชามีลูกทั้งหมด 3 คน คนโตเป็นผู้ชายเกิดกับภรรยาคนเก่าของนายเดชา ส่วนลูกอีก 2 คนรวมทั้งน้องนุ่น เป็นลูกที่เกิดกับตน ลูกชายของนายเดชาไม่มีปัญหาในการเลี้ยงดู นอกจากซุกซนตามประสาเด็ก ส่วนใครจะเป็นผู้ฆ่าน้องนุ่นและเพราะสาเหตุใดนั้นตนไม่ทราบ
จากการสอบสวนลูกชายของนายเดชา ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า วันเกิดเหตุเวลา 21.00 น. นายเดชาอยู่ในห้องกับน้องนุ่นตามลำพังเพียงสองคน ส่วนตนนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านและได้ยินเสียงน้องนุ่นร้องดังๆออกมาว่า “ อย่าทำหนู” หลายครั้งติดกัน ตกดึกเวลาประมาณ 04.00 น.ขณะที่ตนนอนหลับอยู่บนพื้นข้างเตียง ต้องตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงน้องนุ่นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ ตนกลัวนายเดชาจะตื่นขึ้นมาและเฆี่ยนตีน้องนุ่นอีก จึงได้ส่งเสียงบอกน้องนุ่นให้หยุดร้องไห้ สักพักน้องนุ่นได้ลุกจากเตียงจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ตนเห็นเลือดสีแดงสดไหลเป็นทางเปื้อนขาทั้งสองข้างของน้องนุ่น แต่ไม่ทันที่น้องนุ่นจะเดินถึงห้องน้ำ ก็ได้หมดแรงล้มลงเสียก่อน ตนจึงลุกขึ้นไปประคองร่างน้องนุ่นให้นอนลงและหยิบผ้ามาซับเลือดที่หว่างขาให้น้อง เมื่อตนนำน้ำมาให้ดื่ม น้องนุ่นก็ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากขึ้นมา ตนต้องใช้หลอดกาแฟหยอดน้ำใส่ปากน้องนุ่นอย่างทุลักทุเล จนรุ่งเช้าน้องนุ่นได้นอนซมจากการอักเสบบาดแผล จนกระทั่งขาดใจตายอย่างน่าอนาถ และหลังจากน้องนุ่นเสียชีวิตแล้ว ตนเห็นมีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศจำนวนมาก ตนไม่กล้าจับต้องตัว จึงใช้ไม้ทิ่มเข้าไปที่อวัยวะเพศของน้องนุ่น แต่ตนไม่ได้เป็นผู้ข่มขืนน้องนุ่นตามที่ตำรวจสงสัย
จากการสอบสวนพยานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านให้การว่า นายเดชาเป็นคนชอบดื่มสุราเป็นประจำ เวลาเมาชอบทุบตีลูกเมีย ซึ่งภรรยาของนายเดชาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ก่อนที่นายเดชาจะมีน้องนุ่นนั้น เคยจับได้ว่าภรรยาของตนไปอยู่กับผู้ชายตามลำพังในโรงแรม เมื่อตามไปดูก็พบว่าทั้งคู่นุ่งผ้าขนหนูอยู่ด้วยกันจริง หลังจากนั้นไม่นานภรรยาของนายเดชาก็ตั้งท้องขึ้นมาและคลอดออกมาเป็นน้องนุ่น ซึ่งนายเดชาฝังใจมาตลอดว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกตัวเอง และจงเกลียดจงชังมาตลอด เวลานอนก็ให้นอนที่ปลายเท้า และตบตีน้องนุ่นเป็นประจำ
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายเดชาไปที่ร้านขายยา ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตลาดมีนบุรี เนื่องจากนายเดชาให้การว่าซื้อยาแก้อักเสบชนิดน้ำสีเหลืองมาให้น้องนุ่น หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุตกบันได แต่เมื่อนำยาน้ำแก้อักเสบทุกชนิดภายในร้านทั้งหมดมาดู ปรากฏว่าไม่มียาน้ำชนิดเดียวกับที่นายเดชากล่าวอ้าง นอกจากนั้นยังตรวจพบว่านายเดชาเคยมีประวัติต้องคดีมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2510 ถูกตำรวจ สภ.อ.เมืองอุบลราชธานี จับกุมดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และปีพ.ศ.2513 ถูกตำรวจ สภ.อ.วารินชำราบ จับกุมดำเนินคดีในข้อหาชิงทรัพย์ ซึ่งผิดกับคำให้การของนายเดชาว่าไม่เคยทำผิดอื่นใดมาก่อน
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำนายเดชาเพิ่มเติม ซึ่งนายเดชายังให้การปฏิเสธโดยกล่าวว่า ลูกชายของตนเคยใช้ไม้สนุ้กเกอร์ตีน้องนุ่นเป็นประจำ และอาจจะใช้ไม้สนุ้กเกอร์แทงเข้าไปที่อวัยวะเพศของน้องนุ่นก็ได้ ทำไมตำรวจไม่นำไม้สนุ้กเกอร์มาตรวจ หลังจากที่นายเดชาได้กล่าวอ้างเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปที่บ้านพักหลังที่เกิดเหตุ เพื่อไปเอาไม้สนุ้กเกอร์มาตรวจสอบ ซึ่งพบอยู่ภายในห้องนอนของนายเดชา และยังพบปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ที่มีคราบเลือดซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นคราบเลือดของน้องนุ่นอีกด้วย
วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายเดชามาสอบสวนเพิ่มเติมต่อหน้านักข่าว ซึ่งนายเดชาขออนุญาตพูดกับนักข่าวบ้าง โดยกล่าวว่า “ตนคิดว่าพนักงานสอบสวนยังสอบเรื่องนี้ไม่กระจ่าง รวมทั้งขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าตนทรมานน้องนุ่นจนถึงแก่ความตาย และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับรอยบาดแผลกว่า 20 แห่งบนตัวน้องนุ่น เพราะตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากนั้นตนยังขอยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่ได้ข่มขืนน้องนุ่น เนื่องจากตนไม่ใช่สัตว์ และที่ตนเคยทำโทษลูกอย่างมากก็แค่หยิกเพื่อสั่งสอนเท่านั้น อีกทั้งก่อนที่น้องนุ่นจะเสียชีวิต ตนไม่เคยแตะต้องตัวลูกเลย จึงไม่ทราบว่าลูกได้เสียเลือดมากมายขนาดนั้น ตนยอมรับว่ารักลูกไม่เท่ากัน โดยรักลูกคนเล็กมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลส่วนตัวไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ และจากการสอบปากคำเพื่อนบ้านของตนนั้น อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ควรไปสอบปากคำคนอื่นๆบ้าง เนื่องจากเพื่อนบ้านที่สนิทกับตนบางคนที่มาเยี่ยมบอกว่า เห็นลูกชายของตนชอบใช้ไม้คิวทำร้ายน้องทุกวัน แต่บาปทำไมกลับต้องมาตกอยู่ที่ตน ถึงอย่างไรตนก็ไม่คิดจะปรักปรำลูกชาย เนื่องจากตนรักลูกชายคนนี้มาก”
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2539 ผลการตรวจร่างกายของนายเดชาและลูกชายในเบื้องต้นปรากฏว่า บาดแผลที่อวัยวะเพศของนายเดชา เป็นแผลที่ถลอกใหม่และเป็นบาดแผลช้ำแดงไปทั่ว ส่วนที่แขนซ้ายด้านนอกและใต้ศอก มีรอยเล็บข่วนเล็กเท่ากับเล็บของเด็ก บาดแผลรอยฟันกัดที่ใบหน้าของน้องนุ่น เข้ากันได้พอดีกับรอยฟันของนายเดชา สำหรับเรื่องที่นายเดชาอ้างว่าถูกตำรวจซ้อมนั้น ผลการตรวจร่างกายยืนยันว่าไม่พบบาดแผลอื่นใด ในส่วนลูกชายนายเดชาแพทย์ยืนยันว่า อวัยวะเพศมีลักษณะเติบโตไม่เต็มที่ และไม่พบบาดแผลใดๆที่ร่างกายตั้งแต่หัวจนถึงเท้า รอยฟันกัดที่แก้มของน้องนุ่น ไม่สามารถเข้าได้กับลูกชายนายเดชา จึงเชื่อว่าลูกชายนายเดชาบริสุทธิ์
วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 11.30 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนอีกครั้งเป็นเวลา 2 ชั่วโมง นายเดชาได้เปิดปากให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือข่มขืนน้องนุ่นจริง โดยสาเหตุที่ทำลงไปเนื่องจากความกดดันเรื่องครอบครัวและภรรยา ก่อนเกิดเหตุนายเดชาได้ไปกินเหล้าขาวกับเพื่อนจนเมาและกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ด้วยความแค้นที่เมียของตนหนีไปอยู่กับชายอื่นทั้งๆที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ จึงลงมือข่มขืนน้องนุ่นอย่างทารุณ โดยข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนัก เสร็จแล้วพาน้องนุ่นไปล้างคราบเลือดในห้องน้ำ จากนั้นจึงพามานอน ในคืนวันรุ่งขึ้นได้ลงมือข่มขืนอีกครั้ง ตนเห็นมีเลือดไหลออกจากอวัยวะเพศของน้องนุ่น แต่ไม่คิดว่าจะถึงอันตรายจนเสียชีวิต จึงไม่พาน้องนุ่นไปหาหมอ จนกระทั่งน้องนุ่นทนความเจ็บปวดไม่ไหวประกอบกับเสียเลือดมากจึงเสียชีวิตในเวลาต่อมา
หลังจากที่นายเดชาได้รับสารภาพแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีประชาชนที่รู้ข่าวมารอดูการทำแผนเป็นจำนวนมาก พอนำตัวลงจากรถเพื่อเดินไปบ้าน มีประชาชนได้โดดเข้าต่อยหน้านายเดชาอย่างแรง 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันไว้อย่างเต็มที่ ระหว่างการทำแผนนั้นนายเดชาได้บอกกับนักข่าวว่า ตนจำไม่ได้ว่าข่มขืนน้องนุ่นวันไหน เนื่องจากเวลานั้นตนเมามาก ขณะที่เด็กร้องด้วยความเจ็บปวดตนก็ไม่ได้ยินเสียง และที่ต้องทำเช่นนี้เพราะความเก็บกดจากภรรยาที่ชอบหนีออกจากบ้านบ่อยๆ และตนเชื่อว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกของตน (ภายหลังผลการตรวจพิสูจน์ทาง ดี เอ็น เอ ยืนยันว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกของนายเดชาแต่อย่างใด)
ตลอดเวลาที่นายเดชาทำแผนประกอบคำรับสารภาพอยู่นั้น ประชาชนต่างรุมสาปแช่งและเรียกร้องให้ประหารชีวิตกันเสียงระงม เมื่อทำแผนเสร็จจึงนำกลับไปคุมขังที่สน.มีนบุรีเช่นเดิม โดยมีประชาชนพยายามที่จะเข้ารุมประชาทัณฑ์นายเดชาตลอด หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องดำเนินคดีกับนายเดชาและส่งตัวเข้าฝากขังที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายเดชาและถูกส่งมาควบคุมตัวที่เรือนจำกลางบางขวาง หลังจากนั้น ข.ช.เดชาได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต ข.ช.เดชาได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นฎีกาต่อศาล ผลการพิจารณาของศาลฎีกาได้ยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการยุติธรรมของศาลแล้ว น.ช.เดชาได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์อีก และรอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2542 เวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าได้รับทราบชื่อของนักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้ ปรากฏว่าใช่ น.ช.เดชา สุวรรณสุก ตามที่ได้คาดหมายไว้ เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกสองนายพร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลาง ได้เข้าไปเบิกตัวน.ช.เดชาที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเข้าไปภายในตึกขังแล้ว มีนักโทษประหารซึ่งถูกขังอยู่ห้องต้นๆ ได้ถามข้าพเจ้าด้วยเสียงสั่นๆว่า “ หัวหน้าครับวันนี้มีกี่คน แล้วผมจะโดนด้วยหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “ ใจเย็นๆ วันนี้มีแค่รายเดียวแล้วก็ไม่ใช่ห้องนี้ด้วย ผมว่าที่เหลือน่าจะทันได้อภัย เพราะว่าใกล้จะประกาศออกมาแล้ว” นักโทษคนเดิมได้พูดขึ้นอีก “ ขอให้เป็นอย่างที่หัวหน้าพูดเถอะครับ พวกผมกลัวกันเหลือเกิน พอได้เวลาสี่โมงเย็นเมื่อไร พวกผมเป็นอันไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว คอยฟังเสียงไขกุญแจประตูตึก จนกว่าจะถึงเวลาห้าโมงเย็น พวกผมจึงจะหายใจได้โล่งอก” หลังตอบคำถามนักโทษประหารรายนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้เดินไปหยุดยืนที่หน้าห้องคุมขังน.ช.เดชา และเหมือนกับน.ช.เดชารู้ตัวล่วงหน้า ได้ลุกขึ้นยืนและเดินก้มหน้าออกมาหาข้าพเจ้าทันที โดยยังไม่มีเจ้าหน้าที่นายไหนเรียกชื่อขึ้นมา เมื่อออกมาพ้นประตูห้องขัง ข้าพเจ้าได้สวมกุญแจมือและทำการตรวจค้นตัวทันที ซึ่งน.ช.เดชาพูดขึ้นว่า “ หัวหน้าครับไม่ต้องใส่กุญแจมือผมก็ได้ ผมพร้อมที่จะให้หัวหน้าพาไปครับ” ข้าพเจ้าได้บอกไปว่า “ ไม่ได้หรอก ผู้ใหญ่สั่งมา ถ้าเดชาอยู่ในความสงบ ผมจะขออนุญาตถอดออกให้” (สาเหตุที่ต้องใส่กุญแจมือเนื่องมาจากการต่อสู้ดิ้นรนของน.ช.พันธุ์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน ข้าพเจ้าจึงได้รับคำสั่งให้ใส่กุญแจมือนักโทษประหารทุกครั้งและทุกคน จนกว่าจะเห็นว่าไม่แสดงอาการขัดขืนหรือสติแตกเกิดขึ้น จึงจะอนุญาตให้ไขกุญแจมือออกได้ ) จากนั้นข้าพเจ้าได้นำตัวน.ช.เดชาออกมาจากตึกขังทันที
ในระหว่างที่เดินออกไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ ข้าพเจ้าถามว่า “ เดชารู้ตัวได้ยังไงว่าต้องเป็นตัวเองโดยผมไม่ต้องเรียกชื่อ” น.ช.เดชาตอบว่า “ ผมคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงก็คงไม่รอด ยิ่งตอนที่หัวหน้าเอาพันธุ์ไปประหาร ผมยิ่งทำใจพร้อมรอให้หัวหน้ามารับผมไป เพราะคดีของผมกับพันธุ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร ตอนที่หัวหน้าหยุดยืนที่หน้าห้อง ผมเห็นสายตาหัวหน้ามองมาที่ผม ผมรู้ทันทีว่าไม่ใช่ใครอื่นแน่ เลยลุกขึ้นมาเลยดีกว่าไม่ต้องเสียเวลาให้ยุ่งยาก แต่หัวหน้าเชื่อไหมครับผมไม่ได้ทำน้องนุ่นจริงๆ ความยุติธรรมในโลกนี้ไปอยู่ที่ไหนหมดไม่รู้” เมื่อนำตัวมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ ได้ให้นั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้กลางห้อง เวลานั้นเป็นช่วงเลิกงานพอดี ปกติแล้วเจ้าหน้าที่ของเรือนจำส่วนใหญ่จะกลับบ้านกันเลย ไม่ค่อยได้แวะดูการประหารชีวิต เนื่องเพราะได้เห็นการประหารชีวิตอยู่เป็นประจำจนดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อรู้ว่าจะประหารชีวิตน.ช.เดชาผู้ก่อคดีข่มขืนน้องนุ่น จึงได้เข้ามามุงดูอยู่รอบนอกหมวดผู้ช่วยเหลือฯจำนวนมาก
น.ช.เดชาเห็นดังนั้นได้พูดขึ้นดังๆว่า “หัวหน้าและพี่ๆทุกคน ผมจะถูกประหารในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว ผมขอยืนยันให้ทุกคนได้รับรู้ไว้ ผมไม่ได้ทำน้องนุ่นลูกของผมจริงๆ ถึงอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของผมก็จริง แต่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะจนมีความรู้สึกว่าน้องนุ่นคือลูกของผมเอง แล้วผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง พอน้องนุ่นตายตำรวจก็มาจับผมไป บีบคั้นให้ผมรับสารภาพ เมื่อผมปฏิเสธก็ซ้อมผมบ้าง ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ผมบ้าง แล้วผมจะไปทนได้ยังไง ผมจึงจำต้องรับสารภาพออกมาทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ ผมไม่เชื่อว่าความยุติธรรมจะมีเหลืออยู่ในโลก มีเพื่อนนักโทษอีกหลายคนที่ติดคุกโดยไม่ได้ทำความผิด บางคนร้ายแรงถึงโทษประหารเหมือนผม เมื่อผมตายไปแล้วความจริงปรากฏขึ้นมาว่า ใครเป็นคนทำน้องนุ่น ผมอยากรู้ว่าใครจะมาเป็นผู้ชดใช้ชีวิตให้ผม สำหรับหัวหน้าทุกคนผมรู้ว่าต้องทำตามหน้าที่ ผมยินยอมเข้าหลักประหารแต่โดยดี คิดเสียว่าเป็นกรรมเก่าของผมก็แล้วกัน” หลังจากน.ช.เดชาพูดจบ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมเห็นว่าน.ช.เดชาไม่มีอาการที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงได้สั่งให้ข้าพเจ้าไขกุญแจมือออกให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ได้เข้ามาพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลตามระเบียบ น.ช.เดชาได้หันมาพูดกับข้าพเจ้า “ หัวหน้าครับไหนๆผมก็จะตายแล้ว ผมขออะไรหัวหน้าสักอย่างจะได้ไหม” ข้าพเจ้าถามกลับไป “ เดชาจะขออะไร ถ้าไม่เป็นการผิดระเบียบของเรือนจำ ผมจะจัดการให้” น.ช.เดชา “ ผมขอเหล้าเพรียวๆสักแก้วได้ไหมครับ สมัยก่อนผมต้องดื่มทุกวันจนมาเกิดเรื่องขึ้น วันนี้ขอดื่มทิ้งทวนอีกสักครั้งเถอะครับ” ข้าพเจ้า “ แหมเดชาเข้าใจขอจังนะ ความจริงแล้วสำหรับตัวผมเอง ยินดีที่จะให้เดชาได้ดื่มสักแก้ว เพราะตัวผมเองก็ดื่มบ้างเป็นบางครั้ง แต่เหล้ามันเป็นของผิดระเบียบ คงไม่มีใครยอมให้ผมเอาเข้ามาให้แน่ เดชาอยากกินอะไรที่มันไม่ผิดระเบียบไหม ผมจะได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดหามาให้”
น.ช.เดชาถอนหายใจออกมา “ เฮ้อ! น่าเสียดายจัง ถ้าอย่างนั้นผมขอกาแฟแก่ๆสักแก้ว แล้วก็ทุเรียนก้านยาวสักลูกได้ไหมครับ” ข้าพเจ้า “ เรื่องกาแฟไม่มีปัญหา แต่ทุเรียนเดี๋ยวจะขอให้เจ้าหน้าที่ไปหามาให้ ผมไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่านะ”
ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังนายหนึ่งได้พูดขึ้น “ เรื่องทุเรียนเดี๋ยวผมจัดการเอง แม่ยายผมขายทุเรียนอยู่ที่ตลาดนนท์นี่เอง รับรองว่าผมจะให้คัดอย่างดีมาให้เลย” เมื่อกล่าวจบเจ้าหน้าที่นายนั้นรีบออกไปจัดการทันที น.ช.เดชายิ้มขึ้นมาได้แล้วกล่าวว่า “ ให้มันได้ยังงี้ซิ ก่อนตายขอให้ผมได้มีความสุขบ้างเล็กๆน้อยๆก็ยังดี ผมขอขอบคุณทุกคนมาก”
หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งให้ยกฎีกาจากสำนักนายกฯให้น.ช.เดชาฟัง แล้วให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น ต่อจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย ซึ่งน.ช.เดชาไม่ขอทำพินัยกรรม แต่ได้เขียนจดหมายถึงพ่อและแม่ ในเนื้อความของจดหมายมีอยู่ข้อความหนึ่งเขียนว่า “ ความยุติธรรมไม่มีในโลกนี้ ถ้าชาติหน้ามีจริงขอเกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่ใหม่” เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้ ซึ่งมีแกงจืดเต้าหู้หมูสับ น้ำพริกกะปิและผักต้ม ข้าวเปล่า น้ำเปล่า กาแฟแก่ๆ และทุเรียนก้านยาว น.ช.เดชาได้หยิบทุเรียนขึ้นกินทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับยกกาแฟขึ้นดื่มไปด้วย หลังจากกินทุเรียนไปได้ 2 พูใหญ่ๆ น.ช.เดชาได้หันมาพูดกับข้าพเจ้า “ อิ่มแล้วครับหัวหน้า ผมขอขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ผมพร้อมแล้วเอาผมไปยิงได้เลยครับ เวลาหัวหน้าดื่มเหล้าอย่าลืมเทส่งให้ผมบ้างนะครับ “ ข้าพเจ้าจึงบอกไป “ เดี๋ยวคืนนี้ผมกลับถึงบ้าน ผมจะจัดการส่งไปให้ทั้งแบนเลยคอยรับด้วยนะ” น.ช.เดชาได้พูดติดตลกขึ้น “ อย่าลืมจ่าหน้าผู้รับให้ดีๆนะหัวหน้า เดี๋ยวเหล้าจะไม่ถึงผม”
จากนั้นได้นำไปฟังพระเทศน์ ซึ่งน.ช.เดชาได้ตั้งใจฟังอย่างสงบ เสร็จแล้วจึงนำไปสู่ห้องประหารทันที ตลอดทางที่เดินไปนั้น น.ช.เดชาคอยย้ำแต่คำว่า “ ผมไม่ได้ทำน้องนุ่นจริงๆครับ ผมไม่ได้ทำ” เมื่อถึงศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ข้าพเจ้าได้นำน.ช.เดชาแวะเข้ากราบไหว้ ซึ่งน.ช.เดชาได้คุกเข่าพนมมืออธิฐานในใจอยู่พักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นให้นำตัวไปห้องประหารต่อ พอถึงศาลาเย็นใจ ได้ให้นั่งที่เก้าอี้ขาว ข้าพเจ้าเป็นผู้หยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ โดยมีพี่เลี้ยงอีกนายทำการผูกตา เสร็จแล้วช่วยกันประคองนำเข้าสู่ห้องประหาร เมื่อเข้าไปแล้วได้นำเข้าสู่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกสองนายช่วยกันผูกมัด ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร ข้าพเจ้าได้กล่าวขออโหสิกรรมอีกครั้งหนึ่ง น.ช.เดชาได้กล่าวว่า “ผมขออโหสิกรรมให้ทุกคน รวมทั้งตำรวจที่จับผมมาด้วย ผมไม่ขอมีเวรกรรมกับใครอีก แต่ผมขอยืนยันครั้งสุดท้ายว่าผมไม่ได้ทำน้องนุ่น”
พลเล็งปืนได้เข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เมื่อได้ที่แล้วเพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง จากนั้นได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบความพร้อม หัวหน้าชุดฯจึงทำการโบกธงลง เพชฌฆาตทำการเหนี่ยวไกยิงทันที “ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆ” ใช้กระสุนในการประหารทั้งสิ้น 8 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.45 น. หลังเสียงปืนได้เงียบลง ข้าพเจ้าได้ยินเสียง “ครอก ครืด ครอกๆ” ประมาณ 3-4 ครั้งแล้วเงียบไป เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าและแพทย์ได้เข้าไปตรวจดู ปรากฏว่าน.ช.เดชาได้สิ้นใจเรียบร้อยแล้ว จึงได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ และได้รับคำสั่งให้นำร่างน.ช.เดชาลงจากหลักประหาร ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วต่อไป
หลังประหารเสร็จ ข้าพเจ้าได้แวะซื้อเหล้าติดมือกลับบ้าน 1 แบน เวลา 22.00 น.ข้าพเจ้าได้จุดธูปอธิฐานให้ น.ช.เดชามารับเหล้าแบนนี้ไป พร้อมกับเปิดฝาขวดเทเหล้าใส่แก้วตั้งไว้หน้าบ้าน รุ่งเช้าวันต่อมาปรากฏว่าเหล้าแบนนี้ได้หายไปเหลือเพียงแก้วเปล่า ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า “สงสัยเดชาคงมาหิ้วเหล้าไปแล้ว” เพื่อนข้างบ้านได้ยินข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น จึงได้ส่งเสียงตอบออกมาว่า “ไม่ใช่เดชาหรอก เมื่อเช้ามืดเห็นสามล้อถีบมาลาไปเรียบร้อยแล้ว”
ขออภัยเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลมีนบุรี ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวพาดพิงถึง… ขออภัยต่อครอบครัวของด.ญ.สุกัญญา สุวรรณสุก(น้องนุ่น)มา ณ ที่นี้ด้วย… ขออโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณนายเดชา สุวรรณสุกอีกครั้งหนึ่งด้วย…
ติดตามตอนต่อไปกับเรื่องราว นักโทษประหาร “ วาด ขุนจันทร์ “ แค้นถูกสาวแจ้งความหลังบุกจี้ข่มขืน จึงวางเพลิงฆ่าเผายกครัว 3 ศพ ”