ประจวบคีรีขันธ์-สาวผวาหวั่นความไม่ปลอดภัยหลังถูกอุ้มรีดค่าไถ่ 3 แสน ลูกสาวเชื่อผู้ก่อเหตุเป็น ตร. จริง
ภาพ/ข่าว:เอกภพ วงษ์ประเสริฐ
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 23 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปพบกับนางพัชรี อายุ 48 ปี ถึงเหตุการณ์ความคืบหน้า หลังจากที่มีได้มีการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ไว้ที่ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ กรณีเมื่อช่วงสายของวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ถูกกลุ่มแก๊งคนร้ายอ้างตัวว่าเป็นตำรวจภาค 7 ใช้ผ้าดำคลุมหัว และใช้ปืนจี้ศีรษะแล้วอุ้มขึ้นรถไปต่อรองเจรจากับลูกและญาติ เรียกเงินค่าไถ่ตัว 300,000 บาท หากไม่นำเงินมาให้ตามที่ขอจะดำเนินการยัดยา 1,000 เม็ด และส่งตัวดำเนินคดีที่ภาค 7 นครปฐม ด้วยกลัวความไม่ปลอดภัยจึงยอมจ่ายและต่อรองเจรจาลดลงเหลือ 200,000 บาท และได้นำเงินไปวางไว้ที่จุดนัดหมาย โดยปัจจุบันได้สูญเสียเงิน 200,000 บาทไปแล้ว พร้อมแหวนทองอีก 20,000 บาท ที่ผู้สื่อข่าวได้เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
คืบหน้าล่าสุดวันนี้ นางพัชรี อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ถูกอุ้มเรียกค่าไถ่ และยังอยู่ในอาการที่ขวัญผวาตกใจได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองมีความหวั่นวิตกกลัวความไม่ปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว เนื่องจากเราไม่รู้วันดีคืนดีกลัวจะมีคนมาข่มขู่ หรือ เอาปืนมายิงประมาณนั้น ซึ่งขณะนี้เวลาจะอาบน้ำหรือทำอะไรก็ต้องคอยล็อคประตู เพราะหลานก็ยังเล็กอยู่ เราก็ต้องกลัวเพราะมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว และยังมีข้อความฝากมาข่มขู่ตน ซึ่งถ้าหากคนชื่อแงะไม่ผิดจริงก็ออกมาฟ้องเลยหรือมาแสดงความบริสุทธิ์ใจของตนเองเลย ดีกว่าฝากข้อความมาข่มขู่ ตนเองอยู่บ้านหลังนี้กับลูกสาว ลูกชาย แล้วก็หลานสาว 3 ขวบ และหลานชายคนเล็ก 5 ขวบ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ดูแล้วมันไม่ใช่นิสัยของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่คุมไอ้โม่งจับตัวขึ้นรถไปตั้งแต่ 08.30-21.30 น.โดยมัดมือ คลุมหัว 2 ชั้น ข้าวปลาไม่ให้กิน น้ำไม่ให้ดื่ม ห้องน้ำไม่ให้เข้า ให้นั่งอยู่แต่บนรถตลอด ตั้งแต่พาตัวไปยันปล่อยตัว โดยพาตัวขึ้นรถเก๋งไป และไปสับเปลี่ยนรถระหว่างทาง จากนั้นก็พาไปอยู่บ้านพักหลังสวยๆ แล้วก็พาขึ้นรถขับพาวนไปมาตลอด โดยคลุมหัวตนไว้ 2 ชั้นตลอดเวลาหายใจแทบไม่ออก โดยช่วงแรกที่ตนไปส่งหลานแล้วกลับจากโรงเรียนได้มีผู้ชายคนแรกเดินมาล็อคคอตน ซึ่งตนเห็นหน้าจากนั้นมีผู้ชายอีก 3 คนปิดแมสเอาผ้าดำมาคลุมหัวตน จากนั้นเอาปืนจี้ศีรษะแล้วพาขึ้นรถไป โดยในระหว่างนั่งไปอยู่ภายในรถได้ยินคนในรถเรียก ชื่อ “แงะ” ซึ่งคนชื่อแงะตนไม่เคยรู้จัก แต่รู้จักกับเพื่อนแฟนเก่าของลูกสาว เบอร์ติดต่อก็ไม่เคยมี หลังจากโดนจับแล้วคนชื่อแงะเป็นคนแรกที่โทรติดต่อมาหาลูกสาว โดยอ้างกับลูกสาวว่า ตนถูกซัดทอดมาจากพื้นที่ปราณบุรี ซึ่งมีการจับยา 1000 เม็ด ซึ่งเป็นการกล่าวหาตน และตนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
นางสาวพรพิมล อายุ 28 ปี ลูกสาวนางพัชรี เล่าว่า ช่วงเช้าวันเกิดเหตุตนไปทำงาน ต่อมาแฟนได้โทรไปบอกว่าแม่ของหนูโดนอุ้มไป จึงได้รีบกลับมาบ้านและโทรแจ้ง 191 จากนั้นจึงมีสายตรวจมาดูโดยมีพยานที่เห็นเป็นคนเลี้ยงวัวอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ จึงได้วิ่งไปแจ้งความที่โรงพัก สภ.เมืองประจวบฯ ระหว่างนั้นก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา และบอกกับตนว่าชื่อแงะ และแจ้งข่าวบอกว่าแม่ถูกตำรวจภาค 7 จับตัวไป ตนจึงบอกว่าทำแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าผิดก็เอาหมายมาสิทำแบบนี้ไม่ถูก หนูจะฟ้อง ทางคนชื่อแงะจึงพูดว่าถ้าหนูมีหลักฐานก็ทำไป หลังจากแจ้งความเสร็จตำรวจมาดูที่เกิดเหตุ ก็ได้มีเบอร์แปลกโทรเข้ามาเรียกเงินแลกกับการปล่อยตัวแม่ จึงได้มีการต่อรองราคา และตนยื่นข้อเสนอขอให้เปิดกล้องขอเห็นแม่ก่อนได้ไหม จึงจะนำเงินไปให้ แต่กลุ่มคนร้ายปฏิเสธ โดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นตำรวจจริงในพื้นที่ ไม่ใช่ตำรวจจากภาค 7 ซึ่งจะทำให้ตำรวจภาค7เขาเสื่อมเสีย
นางสาวสุภาพร อายุ 42 ปี หลานสาวนางพัชรี ผู้เสียหาย เล่าว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการโทรมาข่มขู่ใดๆ มีแต่เพียงแชทข้อความส่งผ่านคนรู้จักมาบอกตนกับผู้เสียหายว่า ตำรวจที่ชื่อแงะ จะฟ้องพวกตนหากแจ้งความเท็จเพราะเขาอ้างว่าเขามีหลักฐานกล้องวงจรปิดว่าตัวคนชื่อแงะอยู่ที่แห่งใด ซึ่งตนมองว่าถ้าหากบริสุทธิ์ใจก็ให้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่แชทส่งข้อความข่มขู่ผ่านคนรู้จัก