อุทัยธานี-ตร. รวบได้แล้วตามหมายจับ คนร้ายชิงสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองมูลค่านับแสน
ภาพ/ข่าว:วราภรณ์ จันทรังษ์
เมื่อวลา 16.00 น. วันนี้ (29 ก.ย.66) พ.ต.อ.สาทิตย์ ศรีหมื่นไวย ผกก.สภ.เมืองอุทัยธานี พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองอุทัยธานี ร่วมกันแถลงการจับกุมคนร้ายคดีกระชากสร้อยคอทองคำหญิงสาวกลางเมืองอุทัยธานี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา หลังเจ้าหน้าที่ทำการแกะรอยเริ่มจากกล้องวงจรปิดก่อนและหลังก่อเหตุเส้นทางหลบหนี จนกระทั่งรวบรวมพยายหลักฐานจนสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับ ซึ่งคนร้ายหนีไปกบดานในจังหวัดสมุทสาครมานานนับเดือน และสามารถติดตามตัวคนร้าย จนสามารถจับกุมตัวได้ที่บ้านพัก ในพื้นที่ ตำบลอ้อมน้อย อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พร้อมรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุ ยี่ห้อ N MAX สีน้ำเงินดำ หมายเลขทะเบียน 1 กศ 2033 นครปฐม ( ขณะก่อเหตุไม่ติดป้ายทะเบียน ) ทราบชื่อคือ นายสุเมธี ตุลาทอง อายุ 40 ปี และได้ให้ผู้เสียหายได้มาชี้ตัว และผู้เสียหายจำหน้าไม่ได้เนื่องจากขณะเกิดเหตุคนร้ายสวมหมวกกันน็อค แต่สามารถจำรูปพรรณสันฐานได้ว่าเป็นคนเดียวันที่ก่อเหตุ และคนร้ายรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จึงจะได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป ท่ามกลางบรรยากาศ ที่ผู้ก่อเหตุพยายามยกมือไหว้เพื่อขอโทษผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า จะให้ชดใช้อย่างไรก็ได้ แต่พอตำรวจสอบถามถึงจำนวนเงินว่าจะชดใช้ให้ผู้เสียหายได้เท่าไหร่ กลับได้คำตอบว่า ต้องรอถามแม่ก่อน และหากมีการชดใช้ก็อาจจะได้ลดหย่อนโทษด้วย
โดย นายสุเมธี ผู้ก่อเหตุ ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ลงมือก่อเหตุในครั้งนี้ว่า ที่ตนเองลงมือก่อเหตุไปนั้นเพราะเมาสุรา และเครียดที่ตกงานไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท ประกอบกับวันนั้นตนเองได้ทะเลาะกับคนที่บ้าน จึงขับรถจักรยานที่พึ่งซื้อมา กลับมาหาญาติที่บ้านเกิดในพื้นที่ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งตอนที่ลงมือก่อเหตุไปนั้นเพียงเพราะหวังว่าจะหาเงินมาส่งค่างวดรถจักรยานยนต์ ที่พึ่งซื้อมา พอเห็นหญิงผู้เสียหายที่ขับรถสวนกันสวมสร้อยทอง ก็ลงมือทำไปโดยไม่ทันยั้งคิด ซึ่งตอนนี้รู้สึกเสียใจ สงสารลูกๆทั้ง 3 คน และอยากขอโทษผู้เสียหายอย่างมาก ทั้งนี้ นายสุเมธีฯ ยังได้กล่าวต่ออีกว่่า พอได้สร้อยคอทองคำและพระไปแล้วนั้น ก็รู้สึกร้อนอยู่ตลอดเวลา และเหมือนกับว่ามีคนติดตามตัวอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ขับรถจักรยาน ยนต์หลบหนีไปนั้น ในหูก็เหมือนกับว่าได้ยินเสียงเหมือนลูกกระซิบอยู่ตลอดเวลาว่า ทิ้งๆพ่อทิ้ง จากนั้นตนเองก็ได้นำพระนั้นห่อแมสโยนพระทิ้งไป ที่ข้างทางแถวกรุงเทพฯ
ส่วนสร้อยคอทองคำ 2 บาทนั้นตนเองก็เอาไปขายที่ร้านทอง ได้เงินมาประมาณ 55,000 กว่าบาท ที่ร้านขายทองในจังหวัดสมุทรสาคร โดยอ้างว่าจะนำไปเลี้ยงลูกและใช้จ่ายในครอบครัว และได้นำไปจ่ายค่างวดรถ จำนวน 4,050 บาท ส่วนเงินที่เหลือนั้นก็ใช้จ่ายไปเรื่อยๆตอนอยู่บ้านที่ สมุทรสาคร ส่วนการก่อเหตุนั้นไม่ได้เตรียมการมาก่อนเพราะที่เดินทางมาที่จังหวัดอุทัยธานีตั้งใจจะมาบวชที่บ้านญาติ และได้ทะเลาะกับภรรยามา ประกอบกับดื่มเหล้าจนเมา และเมื่อขี่รถจักรยานยนต์มาเห็นผู้เสียหายสวมสร้อยคอทองคำจึงได้ทำการก่อเหตุ ซึ่งหลังการก่อเหตุก็รู้สึกเสียใจ และคิดไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็หนีไม่รอดแน่ กระทั่งมาถูกขจับในวันนี้และยอมรับในสิ่งที่ตนก่อเหตุไว้
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาติดตามตัวคนร้านมาดำเนินคดีได้ภายใน 1 เดือน กับ 2 วัน ขณะที่ทาง ด้าน นางสาว เอ (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย ที่เดินทางมาชี้ตัวคนร้าย เผยว่า ดีใจที่ตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้ ส่วนสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองนั้น ตอนนี้ก็คงจะไม่ได้คืนมาแล้ว ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนที่คนร้ายให้เหตุผลว่า ที่ลงมือทำไปเพราะเดือดร้อนนั้น ตนเองก็มองว่า ถึงแม้จะเดือดร้อนขนาดไหนแต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาฉกชิงวิ่งราวคนอื่น เพราะคนเราก็ต้องทำมาหากิน