ชลบุรี-เพจ csi.lr แจง เหมืองแร่ กองทัพเรือสัตหีบ

ชลบุรี-เพจ csi.lr แจง เหมืองแร่ กองทัพเรือสัตหีบ

ภาพ-ข่าว:นิราช ทิพย์ศรี

         จากกรณี มีเพจหนึ่ง ตั้งฉายา ไอ้“หนวดนรก” จนมีการวิพากย์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ถึงการปฏิบัติของสื่อมวลชน และกองทัพเรือ นั้น ทางเพจ csi.lr ได้ออกมาชี้แจง เมื่อ 5 ก.ค.64 ว่า ขุมทรัพย์เหมืองแร่ (11) ฉายาใหม่ไอ้“หนวดนรก” ทันสมัย ตามประเพณีนิยมที่มีตั้งสรรพนามให้กับบุคคลสำคัญในสังคม เราไม่ได้โกรธ เกลียด หรืออาฆาตแค้นแต่อย่างใด เพจ CSI LA เปิดมาตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 นานถึง 7 ปี แอดมินเพจมี ภูมิลำเนาอยู่ย่านปั๊มน้ำมัน อ่างศิลา ชลบุรี เป็นคนไทยมีดีกรีเป็นนักเรียนนอก เจ้าของธุรกิจ ออกแบบ อัญมณี ทั้งนำเข้าและขายส่ง ความเชื่อมโยงเกี่ยวกับตัวบุคคลที่ส่งข้อมูล เอกสาร โจมตีคนในกองทัพ บุคคลที่คุณนำมาโยงใยนั้น ท่านเป็นผู้นำทัพ มีวุฒิภาวะ มีสติปัญญา มีการศึกษา มีประสบการณ์เพียงพอ ท่านคงไม่ยอมให้ ไอ้ “หนวดนรก” ชี้นำ หรือนำพาท่านให้มัวหมอง เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน ส่วนไอ้หนวดนรก ไม่มีศักยภาพ ไม่มีดีกรีพอที่จะเป็นกุนซือ หรือชี้นำใครได้ ที่สำคัญไม่เคยนำเรื่องเท็จไปเสนอใครให้หลงผิด และหน้ามืดตามัวเกิดความโลภ คงต้องกระชากหน้ากากกลุ่ม “เหลือบ” ภายใน และภายนอก โดยเฉพาะไอ้โม่ง – นางมารร้าย ออกมาให้สังคมได้รับรู้ต่อไป

          แอดมินเพจ Csi.lr จำเป็นต้องสืบค้นหาว่า ใครคือไอ้โม่ง ใครคือกลุ่มเหลือบ ที่แสวงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของกองทัพ เพราะมีคนบางคน บางกลุ่มที่มีความโลภ อย่าเบี่ยงประเด็นว่าเพจนี้โจมตีกองทัพ เป็นเพียงเสนอข้อมูลจริงเพื่อไม่ให้หลงทาง หลงประเด็น ต้นเหตุมาจากพวกคุณเองที่ให้ข้อมูลเท็จ โจมตีผู้นำกองทัพ และผู้นำหน่วยระดับสูง อย่างต่อเนื่อง เรื่องอื่น ๆ เราคงยังไม่เจาะลึก แต่เรื่อง “เหมืองแร่ สัตหีบ ชลบุรี”แห่งนี้ เราติดตาม เก็บภาพ เก็บข้อมูล เก็บหลักฐานการทุจริตมายาวนาน (สักวันคงได้เห็น) เรื่องที่ดินในเหมือง ทรัพย์สินของกองทัพนับสิบล้านไม่เรียกคืน แต่สร้างปัญหาอื่นเพิ่ม หมากเกมนี้ใครได้เปรียบ ใครเสียเปรียบ หยุดการใช้วิธีสกปรกได้แล้ว คนที่เขามีปัญญา มีสมองเขาไม่ทำกันด้วยวิธีนี้ เรื่องที่พวกคุณกำลังคาดหวัง และวางแผนกัน แม้แต่การสืบทอดตำแหน่ง เพื่อสานประโยชน์ในเหมืองแร่ แห่งนี้ อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ สุดท้ายก็คงหนีความจริง หนีหลักฐานไม่พ้น ต้องรับกรรมกัน
         การเปลี่ยนแปลงเริ่มแรกของเหมืองแร่ ก็คือ บริษัทฯเก่าหมดสัญญา อีกทั้งผลการดำเนินการที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนน้อยมาก จึงได้มีการสรรหาบริษัทฯใหม่เข้ามาดำเนินการ โดยได้เชิญบริษัทเก่ามาต่อรองรับทราบกติกาใหม่ จึงมีทั้งหมด 4 บริษัท เข้าร่วมเสนอราคาแข่งขันกัน (รวมถึงบริษัทเก่าด้วย) โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา ศึกษาดูงาน ไม่ใช่การตัดสินใจของอดีต ผบ.ทร. แต่เพียงผู้เดียว ในเมื่อคณะกรรมการพิจารณาเห็นชอบกันแล้ว ท่านก็ต้องลงนามความเห็นชอบ หรืออนุมัติตามเสนอ โดยปราศจากการชี้นำ รวมถึงการต่อสัญญาให้ เพราะท่านทราบดีว่า บริษัทฯ ได้เข้ามาลงทุนใช้เงินมหาศาลในการพัฒนา ปรับปรุง แก้ไข ฝังกลบปัญหาที่หมักหมมกันมานาน จนทำให้เหมืองแร่แห่งนี้ได้มาตรฐาน ไม่ผิด พ.ร.บ.2560 และไม่ผิดกฎหมาย ส่งผลให้ผู้เสียประโยชน์ใส่ร้าย ป้ายสีกันว่าเป็นบริษัทที่ท่าน หรือ ภริยา ชักนำพาเข้ามา ความจริงท่าน และวงศ์ตระกูล 2 ฝ่าย ไม่เคยรู้จักกับบริษัทฯนี้ เป็นการส่วนตัว เรื่องการคัดสรรผู้ที่เข้ามาทำเหมืองแร่ เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการ จงหยุดใส่ร้าย ป้ายสีกันได้แล้ว ชายชาติทหารต้องนักเลงพอ จบแล้วต้องจบ เกราะกินกองทัพไปมากพอแล้ว อย่าสร้างปมปัญหาเพื่อเบี่ยงประเด็นปิดแผลตัวเอง

       ประเด็นเรื่องสัญญาที่ทำกับบริษัทฯนี้ เปลี่ยนแปลงในเรื่องมวลดิน ระบุให้ “ผู้รับจ้าง”ดำเนินการ แต่สัญญาที่ทำกับบริษัทเก่า ระบุว่า “มวลดิน”ให้ “ผู้ว่าจ้าง” เป็นผู้ดำเนินการ ก็คือ ให้กิจการหิน เป็นผู้ดูแล เสียค่าภาคหลวง ควบคุมการจำหน่ายดินนำเงินรายได้เข้าสวัสดิการ (ต้องแจ้งให้ ป.ป.ช. เข้ามาตรวจสอบว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เริ่มสัมปทานกิจการหิน มีการเสียค่าภาคหลวงไปกี่ครั้ง และมีการนำเงินรายได้ส่งเข้าสวัสดิการ กองทัพเรือ หรือไม่ เพราะพบเอกสารการทุจริตเรื่องดิน ที่ผ่าน และไม่ผ่านตราชั่ง) นี่ไงคือปัญหาที่ผู้นำกองทัพล่วงรู้ แต่ไม่ต้องการลงโทษผู้ใดให้เป็นตราบาป จึงใช้วิธีการแก้ไขสัญญา เพื่อหยุดเรื่องร้ายที่ซุกอยู่ใต้พรม ขึ้นมาว่างไว้บนโต๊ะ ผลประโยชน์จึงตกอยู่ในรูปแบบสวัสดิการ เรื่องสัญญาถ้าทางกฎหมายก็คงตีความได้ว่า ในราคา 38 บาท ที่ต้องจ่ายกองทัพเรือ ได้เหมารวมหมดแล้ว โดยยึดหลักการพิจารณาของสัญญาคือ ให้ “ผู้รับจ้าง” ดำเนินการ

         ปัญหาแรกในเหมือง ก็คือปัญหาเรื่อง “มวลดิน” ที่มีการตรวจสอบและกล่าวหาว่า บริษัทฯ ลักลอบนำดินออกไปขาย ทั้งที่การนำออกได้มีเอกสารหลักฐานแจ้งทุกวัน แต่ถูกสั่งระงับห้ามนำมวลดินออกนอกพื้นที่เหมือง ทั้งที่อุตสาหกรรม ได้อนุมัติ และมีการเสียค่าภาคหลวง ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกิจการสวัสดิการหิน เสนอให้มีการเรียกเก็บค่ามวลดินย้อนหลัง โดยใช้ราคาดินที่เกรดดีจากภายนอกเหมืองมาประเมิน ทั้งที่ดินในเหมือง ส่วนมากเป็นหินที่ด้อยคุณภาพ ลูกค้าไม่พึงปรารถนา ทางบริษัท ก็ยินยอมทุกอย่างที่กอง ทัพเรือต้องการ โดยปราศจากการโต้แย้งถ้าคณะกรรมการพิจารณาเห็นชอบ หรือตีความหมายของสัญญาไปในแนวทางนั้น ๆ ถึงแม้ว่าบางเรื่องจะขัดกับประเพณี หรือหลักปฏิบัติของคนทำเหมืองก็ตาม ยอมทุกเรื่องเพียงขอให้มีการทบทวนสัญญาในบางข้อ ที่ขัดต่อ พ.ร.บ. ปี 2560 และขัดต่อกฎหมาย ก็ไม่มีการทบทวน แก้ไข ในที่สุดปัญหาก็เกิด

        ที่ผ่านมาเกือบ 1 ปี เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง และตั้งข้อสงสัยว่า ตัวแทนของ” ผู้ว่าจ้าง”ที่ได้รับมอบหมาย ไม่สนทนา ไม่เอื้ออำนวย ไม่สนับสนุน ไม่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับ “ ผู้รับจ้าง”ในการดำเนินกิจการได้อย่างราบรื่น มีแต่การจับผิด สร้างกรอบกติกา สร้างปมปัญหา ที่ไม่ใช่ปัญหา ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก สถานการณ์แบบนี้สันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีการตั้งธงไว้แล้วว่า ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะขัดขวางไม่ให้ บริษัทฯ ดำเนินกิจการได้ ไม่สามารถผลิตหินได้ตามข้อตกลง ต้องเสียค่าปรับ สุดท้ายต้องยกเลิกสัญญาจ้าง แล้วสรรหาบริษัทอื่นเข้ามาดำเนินการต่อ สุดท้ายก็เป็นจริง มีการยกเลิกสัญญากับบริษัทฯนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2564 บริษัทฯเห็นว่าการยกเลิกสัญญาครั้งนี้ไม่เป็นธรรม จึงได้ฟ้องต่อศาลปกครองจังหวัดระยอง เพื่อคุ้มครอง เพื่อให้มีการเจรจา “เรื่องนี้น่าสนใจ ถ้าศาลไม่มีมูลคงไม่ประทับรับฟ้องอย่างแน่นอน”
        หลังจากศาลประทับรับฟ้องแล้ว แต่การปฏิบัติการเกิดขึ้นของเจ้าหน้าที่ภายในเหมืองแร่แห่งนี้ ก็คือ มีการนำกำลังทหาร เครื่องมือ อุปกรณ์เข้ามาตัดระบบไฟฟ้าทั้งสายการผลิต และการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปิดเส้นทางเข้า-ออก ภายในเหมือง โดยอ้างว่ากองทัพเรือได้ยกเลิกสัญญาจ้างแล้ว ซึ่งเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เข้าไปดำเนินการใด คาดว่าอาจจะต้องถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก แต่ก็คงมีทางออกด้วยเหตุผลว่าได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ก็ต้องพิสูจน์กันว่าคำสั่งนี้มิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าเป็นคำสั่งที่มิชอบผู้ปฎิบัติก็ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นข้าราชการทหาร ก็ต้องรู้เรื่องกฎหมาย ปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนกับประชาชนทั่วไป

        ประเด็นร้อนในเรื่องนี้ คงไม่พ้นเรื่องการยกเลิกสัญญา คณะกรรมการต้องไปทบทวนกันอย่างละเอียดว่า สัญญามีความบกพร่องในเรื่องปริมาณหินที่ไม่ตรงตามประทานบัตรหรือไม่ เพราะประทานบัตรระบุชัดเจนว่า 25 ปี สามารถผลิตได้ 14,283,400 ตัน อีก 10 ปี ที่เหลือมีหินให้ผลิตเพียง 6,130,900 ตันเท่านั้น นี่คือข้อเท็จจริงที่ทางผู้รับจ้างไม่สามารถผลิตหินได้ตามสัญญา เพราะผิด พ.ร.บ.2560 และผิดกฎหมาย จึงได้มีการขอขยายเขตรองรับไว้ในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ท่านได้บอกมาแล้วว่า ให้กองทัพเรือศึกษา พ.ร.บ.2560 ให้ดี และให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.และกฎหมายอย่างเคร่งครัด ปัญหานี้ไม่ยากที่จะแก้ไข เพียงตั้งโต๊ะเจรจา หาข้อเท็จจริงว่ามีอะไรบกพร่อง มีอะไรผิดพลาด ก็ร่วมกันแก้ไขก็จบ เพราะผู้ประกอบการไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะฟ้องเพื่อเอาชนะกองทัพ แต่ฟ้องศาลปกครองเพื่อรักษาสิทธิ และต้องการให้มีการเจรจากัน เนื่องจากขณะนี้ความเสียหายเกิดขึ้นอย่างมหาศาลทั้งทางด้านสังคม และภาคธุรกิจที่จะโยงใยมาสู่กองทัพเรือด้วย

       โปรดติดตามตอนต่อไปไอ้ “หนวดนรก”จะขุดข้อมูลลึกของกลุ่ม “เหลือบในเหมืองแร่” มานำเสนอต่อ “เสือเฒ่าซ่อนเล็บ”

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!