นครปฐม-จาก”เรือนจำ””สู่”พระครู”

นครปฐม-จาก”เรือนจำ””สู่”พระครู”

เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)

เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อาตมาได้เล่าเรื่องที่พระสงฆ์ในวัดไผ่ล้อมจำนวน 8 รูป ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระฐานานุกรมในพระราชาคณะ ซึ่งก็นับเป็นความกรุณาของพระเถรานุเถระ ได้แก่ พระเดชพระคุณพระธรรมกิตติมุนี วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร พระเดชพระคุณพระราชสุรวาที วัดหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระเดชพระคุณพระธรรมปริยัติโมลี วัดบพิตรพิมุขวรวิหาร พระเดชพระคุณพระเทพรัตนมุนี และพระเดชพระคุณพระราชธีรคุณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ที่ได้ให้โอกาสแก่พระสงฆ์บ้าน ๆ ให้ได้มีหน้าที่ มีตำแหน่ง มีความรับผิดชอบที่สูงขึ้น แต่พระรูปที่เรียกว่า ชีวิตเหมือนนิยายเลยก็ว่าได้ ก็คือพระครูสุมห์อนุชา สิริจนฺโท หรือพระหมู ฐานานุกรมในพระเดชพระคุณพระธรรมกิตติมุนี วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร

พระหมู อาตมาเคยเล่าเรื่องของเขาไปเมื่อต้นปีที่แล้ว เป็นชีวิตที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เป็นพระครู เพราะสมัยวัยรุ่นเข้าออกคุกเข้าออกตะรางเป็นว่าเล่นด้วยคดีเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ก่อนมาพระหมูเป็นชาวยานนาวา อยู่ในชุมชนแออัดเสื่อมโทรม และมีเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องปกติ พระหมูอยู่ในชุมชนแบบนั้น คบหาสมาคมส้องเสพเพื่อนฝูงในนั้นก็ไม่พ้นต้องตกเป็นทาสยาเสพติด จากที่เสพเป็นเม็ด พอต่อมามีวิธีการเสพแบบดูด ดูดม้า พระหมูก็ไม่พลาด ดูดม้าด้วย ติดจนถึงขั้นว่า ถ้า ไม่มีก็ไม่เสพ แต่ถ้ามีก็เสพ แล้วจากผู้เสพก็พัฒนากลายเป็นผู้จำหน่าย สุดท้ายถูกตำรวจจับตามกฎหมาย ข้อหามีไว้ในครอบครอง อยู่คุกไม่นานก็ได้ออกมา ออกมาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดิม มีความต้องการใช้เงิน ก็กลับเข้าวงจรค้ายาบ้าใหม่ แล้วชีวิตก็วนอยู่แบบนั้นหลายครั้ง มีเรือนจำเป็นบ้าน มีนอกเรือนจำเป็นที่พักตากอากาศ จนตอนหลังได้ไปทำงาน รปภ.อยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกเคว้งคว้าง เบื่อเต็มที ที่บ้านจึงให้ไปบวช พระหมูเลยได้ไปบวชครั้งแรกที่โคราช วัดถ้ำสองพี่น้อง พอบวชได้ถึงปีที่สี่ พระหมูเอาชนะความต้องการไม่ได้ ก็หายามาเสพ พอเสพครั้งแรก แจ็กพ็อตแตก ก็ตรงกับช่วงเขาเรียกตรวจปัสสาวะพอดี เท่านั้นก็เรียบร้อย พระหมูขึ้นฉี่ม่วง ต้องถูกจับสึกตามระเบียบ พอถูกสึกรอบแรก ก็ไปบวชใหม่อีกรอบหนึ่ง ปรากฏว่ามีหมายศาลมาเลยต้องสึกอีกรอบ ไปจัดการเรื่องคดีความอะไรให้เรียบร้อย จนไม่ติดค้างติดขัดเรื่องการบวชแล้ว พอบวชรอบที่สาม บวชที่วัดผ่านศึก จึงได้มาพบกับอาตมา
          ตอนนั้นอาตมาเดินทางไปยังวัดผ่านศึกนุกูล จังหวัดนครราชสีมา เพื่อติดตามงานบูรณะวัด ปรากฏว่าอาตมาพบกับพระรูปหนึ่งในวัดนั้น เห็นทีแรกก็สะดุดตาทันที เพราะเป็นพระที่มีอัธยาศัยดีมาก ดีขนาดว่าถ้ามาช่วยงานที่วัดไผ่ล้อมได้ก็จะเป็นการดี นั่นคือ พระหมู จึงชวนให้มาอยู่ที่วัดไผ่ล้อม พระหมูก็ยินดีเดินทางติดตามอาตมามายังวัดไผ่ล้อมด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากไปกว่านี้ รู้แต่ว่าแม่ก็ยินดีที่ได้ไปอยู่วัดไผ่ล้อม จนมาถึงวัดไผ่ล้อม แล้วอาตมาได้ซักประวัตินั่นแหละ เท่านั้นละรู้เรื่อง ประวัติโชกโชนของแท้ ถามว่าเป้าหมายของพระหมูในการบวชครั้งนี้คือออะไร พระหมูบอกว่า คือ การปรับปรุงตนเอง กลับตัวกลับใจเสียใหม่ เพื่อแม่

ยี่สิบสามสิบปีกับยาเสพติด พระหมูพอแล้ว ไม่ขอกลับไปอีกแล้ว จากร่างกายที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนติดยา ดูไม่สมบูรณ์ วันนี้ใคร ๆ ก็เห็นพระหมูอุดมสมบูรณ์ ก็ดีใจ โยมแม่ก็ดีใจ ดีใจที่พระหมูได้มาอยู่วัดไผ่ล้อม และได้ทำหน้าที่ต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ทุกวันนี้พระหมูแข็งแรง ไม่มีลักษณะของคนติดยาอีก ก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า โจรกลับใจนี้มีจริง เพียงแต่เราต้องทำให้ถูกจุด แก้ให้ถูกปม ที่ผ่านมาพระหมูอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม พบแต่มิตรไม่ดี และไม่มีใครเอาใจใส่เห็นคุณค่า มาวันนี้พระหมูเป็นบุคลากรที่มีค่าของวัด ทุกเช้าต้องมาออกหน่วยคัดกรองหน้าวัด ซักประวัติผู้ป่วยที่เข้ามาใช้บริการเจาะเลือดที่วัดของทางโรงพยาบาลนครปฐม ทำด้วยอัธยาศัยดีมีจิตบริการ พอเสร็จภารกิจก็ทำกิจกวาดลานวัด ทำความสะอาด ศึกษาพระธรรม เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาที่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์เลย จนวันนี้ก็ได้เป็นพระครูสมุห์อนุชา เป็นพระครูสมุห์หมู แม้จะเป็นสมณศักดิ์เล็ก ๆ แต่ก็เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ เพราะความดีที่ได้กระทำมาตลอดการเข้ามาในอริยชาติ ไม่ว่าอดีตจะเป็นมาอย่างไร อาตมาก็วางใจแล้ว พระเถระก็เห็นแล้วว่าสมควรจะได้รับ

วันหนึ่ง ๆ ล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่ พุทธสุภาษิตที่ติดต้องใจใครหลาย ๆ คน คงเป็นบทสรุปอย่างดีในเรื่องนี้ พระหมูเป็นคนมีศักยภาพ ถ้าเขาไม่มีศักยภาพ ไม่เป็นคนมีของมีดี อาตมาคงไม่สะดุดใจพระหมูตอนอยู่ที่วัดผ่านศึก แต่เขามี เพียงแต่ยี่สิบปีกว่ากับเวลาที่ล่วงผ่านไปของพระหมู ล่วงไปกับยาเสพติด ยาบ้า ทำให้เวลาในชีวิตที่มีศักยภาพของพระหมูผ่านล่วงเลยไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็เป็นบุญของพระหมู พระหมูนี่ก็เป็นประเภทอย่างพระองคุลีมาลเถระ อดีตเคยทำไม่ดีมานักต่อนัก แต่พอเข้ามาในอริยชาติแล้ว ก็ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปอีก ก็ทำหน้าที่ของตนให้อริยชาติจนพบทางที่เกษมจริง ๆ ซึ่งสิ่งนี้มันไม่สายเกินไป และไม่มีคำว่าสาย หยุดได้ก็คือหยุดก็เหมือนตอนพระพุทธเจ้าตรัสแก่พระองคุลีมาลว่า เราหยุดแล้ว ทำไมท่านยังไม่หยุด พร้อมกับปาฏิหาริย์ราวกับหยุดเวลา องคุลีมาลควงดาบไม่เท่าไรก็ตามไม่ทันหยุดลงเมื่อไหร่ ไม่ปล่อยให้วันเวลามันไหลผ่านไป นั่นแหละ เห็นกระจ่างแจ้งทุกประการ ..ขอเจริญพร

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!