ร่วมมือ ร่วมใจ ปกป้องพุทธศาสนา-ธรรมมะดีๆจาก”หลวงพี่น้ำฝน”

ร่วมมือ ร่วมใจ ปกป้องพุทธศาสนา-ธรรมมะดีๆจาก”หลวงพี่น้ำฝน”

ภาพ-ข่าว:อริย์ธัช พรอัศวโยธิน/คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน

                 เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้เรามักจะได้เห็นข่าวอลวน พระอลเวงเกิดขึ้นหลายคดีด้วยกัน ติดต่อกันหลายข่าว จนเชื่อแน่ว่าญาติโยมผู้เป็นพุทธศาสนิกชนจะต้องตั้งคำถามว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพุทธศาสนา เกิดอะไรขึ้นกับพระสงฆรัตนะ คดีรายวันแบบนี้ แล้วเราจะกราบไหว้ใครได้

               อันที่จริงแล้ว พระสงฆ์เป็นสถาบันทางศาสนาที่เปิดรับทุกคนที่ต้องการจะใช้ชีวิตแบบนักบวช ขอเพียงยอมรับข้อกำหนดบทวินัยที่พระบรมศาสดาวางเอาไว้ คือ พระปาติโมกข์ 227 ข้อ ยอมรับในนิสสัย 4 และไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามพระวินัย คือ อันตรายิกธรรม พูดแบบง่าย ๆ คือ ใครมีคุณสมบัติพร้อมก็บวชได้ แต่บวชได้แล้ว จะตั้งมั่นในภิกษุภาวะได้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะการเป็นพระภิกษุคือการฝึกตนอย่างหนึ่งที่เคร่งครัดเข้มข้นกว่าทั่วไป เหมือนโรงเรียนทางวิญญาณ

             ถ้าเรามองสถาบันพระสงฆ์เป็นเหมือนโรงเรียนขนาดใหญ่ (เพื่อความหลุดพ้น) ที่มีกฎระเบียบเข้มข้นเพื่อให้นักเรียนได้สำเร็จการศึกษา คือ โลกุตตรธรรม มันก็มีนักเรียนหลายประเภท นักเรียนที่ดีเด่น นักเรียนที่ปานกลาง หรือนักเรียนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียน แค่อยากมาหากินในคราบผ้าเหลือง ด้วยพระสงฆ์เป็นสถาบันที่เลี้ยงชีพด้วยปัจจัยที่ญาติโยมหามาให้เพื่อบำรุงพระสงฆ์ บำรุงพระศาสนา พระบางจำพวกก็ไม่ได้ตระหนักในข้อนี้ หรือนักเรียนบางพวกก็ถูกกิเลสครอบงำ จนทำผิดศีลทำผิดวินัยถึงขั้นปาราชิกก็มีมากมาย ที่เป็นเช่นนี้ท่านก็เรียกว่าปาราชิก คือ ผู้แพ้ แปลตามตัวว่าอย่างนี้ และในเมื่อมีเหตุเช่นนี้ พระสงฆ์ก็มีระบบการแก้ไขปัญหาภายใน คือ การระงับอธิกรณ์ หรืออธิกรณสมถะ เพื่อให้เรื่องระงับตามที่ควรจะเป็น หรือหากร้ายแรงมากก็จะต้องมีบทลงโทษตามพระวินัย เช่น การปริวาสกรรมในกรณีของสังฆาทิเสส หรือการพ้นจากความเป็นพระภิกษุไปเลย ถ้าเทียบกับโรงเรียนก็คือโดนไล่ออก

          สถาบันพระสงฆ์ในพุทธศาสนามีเรื่องราวแบบนี้เป็นปกติทุกยุคทุกสมัย เพราะธรรมชาติของพระสงฆ์ก็เป็นแบบนี้ จะเรียกว่าอ่อนแอก็แพ้ไปก็ได้ แต่ว่าในโลกยุคนี้ที่ข่าวสารไปถึงโลกกว้างอย่างรวดเร็ว เวลามีข่าวอธิกรณ์ หรือคดีความทางพระวินัยของพระสงฆ์แต่ละครั้ง ก็รู้กันไปทั่วประเทศ ออกข่าวเช้ากลางวันเย็นค่ำดึก ขยี้แล้วขยี้อีก ปัญหาอย่างหนึ่งที่อาตมาคือ มีแค่อธิกรณ์ แต่สังคมตัดสินไปแล้วว่าพระผิด ผิดไปก่อนจะตัดสินแล้ว โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียนั้นตัดสินไปแล้วว่าผิด และควรต้องถูกลงโทษอย่างไร ถ้าหากว่าผิดจริง แม้คดีจะจบ แต่สถาบันพุทธศาสนาก็มีบาดแผล เรียกว่ามีแต่เสีย กับเสีย ส่วนหนึ่งก็ด้วยการที่มีความอธิกรณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่ผู้คนไม่เห็นว่าสถาบันพระสงฆ์จะมีการเทคแอคชั่นอะไรที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ จนดูราวกับว่า สถาบันพระสงฆ์เรามีแต่คนจำพวกที่เป็นข่าวฉาวข่าวคาว
          ส่วนพระสงฆ์ที่มีหน้าที่ในการแก้ปัญหานั้น ก็อาจจะแก้ไขได้ไม่ทันท่วงที ไม่ทันกระแสโลกภายนอก เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏก็ไม่ชี้แจงให้สังคมรับทราบ หรืออาจจะแก้ไขไม่เด็ดขาด ไม่สะเด็ดน้ำ อาจจะเน้นปกป้องตัวพระภิกษุต้นเรื่อง ปล่อยเบลอไป สิ่งที่ทิ้งไว้ สิ่งที่เหลือ ก็คือความเสื่อมศรัทธาต่อพระศาสนา ซึ่งในฐานะพระภิกษุสงฆ์ไม่ควรจะเห็นเป็นเรื่องปกติ หน้าที่การปกป้องพุทธศาสนา เป็นของพุทธศาสนิกชนทุกคน แต่ผู้ที่น่าจะต้องตระหนักมากที่สุด ก็คือพระสงฆ์เรา ๆ นั่นแหละ

          ก็นับว่าโชคดีที่พระสงฆ์ผู้บังคับบัญชาของอาตมา คือ พระธรรมวชิรานุวัตร เจ้าคณะภาค 14 เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง พระอารามหลวง อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ ได้เรียกประชุมและออกคำสั่งเจ้าคณะภาค 14 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการช่วยวินิจฉัย แก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุและแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียน ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ประกอบด้วยจังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสาคร คณะกรรมการนี้ร่วมทำงานกับคณะพระวินยาธิการในพื้นที่ระดับตำบล โดยได้กำหนดให้มีการทำงานภายใต้อำนาจของเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด โดยมีจุดประสงค์ ดำเนินการช่วยวินิจฉัย แก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุและแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียน ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพ เกิดผลดีทั้งทางโลกและทางธรรมแก่คณะสงฆ์ ทั้งนี้ อาตมาได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงาน

           อาตมาได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนที่มาติดตามการขันน็อตในครั้งนี้ว่า คณะสงฆ์ได้รับความบอบช้ำมามากแล้ว จากหลายเหตุการณ์ ซึ่งมีประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับวงการสงฆ์ หลายเรื่องยังไม่มีการตัดสินแต่สังคมได้มองว่าพระผิดไปแล้ว และไม่มีการแก้ข่าวหรือนำข้อเท็จจริงมานำเสนอ ซึ่งอาตมาเองก็เจอมากับตัวหลายครั้ง แต่ที่สำคัญปัญหานี้จะแก้ได้ด้วยการที่เจ้าอาวาสต้องไม่ปกป้องพระภิกษุสงฆ์ที่กระทำผิด ซึ่งเป็นปัญหาที่สะสมมานานและสะสางปัญหาไม่ได้ ซึ่งอาตมาก็ได้ศึกษาเรียนรู้กระบวนการในสังคม โดเฉพาะในเรื่องสังคมออนไลน์ และในข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นจุดบอดในวงการสงฆ์ โดยมีคณะทำงานที่จะสนับสนุนการทำงาน และเชื่อว่าในอนาคตคำสั่งนี้จะเป็นต้นแบบในการปกครองกับคณะสงฆ์ต่อไปทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้มีขั้นตอนในการเฝ้าพิทักษ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราด้วย

           อาตมาคิดว่าอันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้พระสงฆ์เราตื่นตัวที่จะสะสางปัญหาต่าง ๆ ในคณะสงฆ์ของเรา เพื่อให้คณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนาของเรานั้นยังคงเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธา ขอเจริญพร

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!