นครปฐม-เมื่อเรือนจำคือสวรรค์..แต่โลกข้างนอกนั้นเหมือนนรก..!
เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน)
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน จากประสบการณ์ที่อาตมาได้ใกล้ชิดกับงานราชทัณฑ์ เนื่องจากมีโอกาสได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชทัณฑ์ คือ เรือนจำกลางนครปฐม ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขัง ได้มีโอกาสเข้าไปอบรมคุณธรรม จริยธรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำหลายครั้ง ทำให้อาตมานั้นคิดได้อย่างหนึ่ง
เรือนจำนี่มันสวรรค์ชัด ๆ…
อาตมาพูดแบบนี้รับรองว่าญาติโยมที่ได้อ่านได้ฟังนั่งอ้าปากหวอ หลวงพี่น้ำฝนพูดอะไรไม่ทราบ เรือนจำมันจะเป็นสวรรค์ไปได้อย่างไร ในเมื่อคนทั้งหลายไม่ต้องการจะเฉียดใกล้เรือนจำ แค่เห็นภายนอกก็รู้สึกได้ถึงโลกในกำแพงที่อึดอัด ดูน่ากลัว ไร้อิสรภาพ นึกถึงภาพผู้คุมโหด ๆ ที่ถือไม้กระบองแล้วทุบตีนักโทษ นักโทษที่ต้องสวมโซ่ตรวนอยู่ตลอดเวลา นี่หลวงพี่ไปโดนตัวไหนมา
อาตมาน่ะไม่ได้โดนตัวไหนมาหรอก เพราะอาตมาก็ได้เห็นตามที่เห็นนั่นแหละ สมัยนี้ผู้คุมเขาก็ไม่ได้ถือกระบองถือแส้หวายคอยทุบตีนักโทษแบบในหนังโบราณแล้ว แบบนั้นคงมีแต่ในพิภพมัจจุราช มียมบาล นิรยบาลคอยลงทัณฑ์ สมัยนี้เรือนจำเขามีการฝึกอาชีพ ฝึกระเบียบวินัย อบรมบ่มนิสัยให้กลับคืนเป็นพลเมืองดีของสังคม มันจะเป็นนรกไปได้อย่างไร
เรือนจำนี่มันสวรรค์ชัด ๆ..
คนที่น่าจะรู้สึกแบบนี้มากที่สุด ก็คือบรรดาผู้ต้องขังนั่นเอง เพราะการเข้ามาในเรือนจำ เป็นการปิดโอกาสทำเรื่องไม่ดี ปิดโอกาสทำความผิด ต้องมีชีวิตภายใต้กฎระเบียบ อยู่ในสังคมหมู่คณะ มีการฝึกฝนพัฒนาศักยภาพของตนตลอดเวลา มีโอกาสได้ทบทวนตัวเองจากความหลงผิด ความผิดพลาดในอดีต อันเป็นเหตุให้ตนเองต้องรับโทษทางอาญา การที่ผู้ต้องขังต้องมาอยู่ในเรือนจำนั้น ก็ด้วยความผิดที่ทำไปด้วยความหลงผิด ด้วยอารมณ์อกุศลเหตุอกุศลมูลทั้งปวง คือ โลภะ โทสะ โมหะ โลภ โกรธ หลง ที่เผาผลาญจิตใจ นั่นแหละคือนรกของจริงที่สัมผัสได้แก่ตัวโดยไม่ต้องรอให้ถึงโลกหน้า
อย่างโบราณว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ… แต่พอได้เข้ามาในเรือนจำ เรือนจำคือดินแดนแห่งโอกาสที่ให้ผู้เคยตกนรกทางใจได้ทบทวนตนเอง ได้เห็นคุณค่าในตนเอง ว่าสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้โดยไม่ต้องทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือศีลธรรม ได้พัฒนาตนเองด้วยการฝึกอาชีพ ได้พัฒนาวินัย คุณธรรม จริยธรรม ชีวิตผู้ต้องขังในเรือนจำ แม้จะถูกจำกัดพื้นที่ มีระเบียบควบคุมมากมาย แต่ก็เป็นระเบียบเพื่อความเรียบร้อยในหมู่คณะ ตื่นเช้ามาก็เข้าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ อบรมให้รู้จักเคารพกฎหมายบ้านเมือง มีมารยาท มีวินัย ผ่านการฝึกบุคคลท่ามือเปล่า ท่าออกกำลังกาย และการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม
ทุกวันนี้ผู้ต้องขังหลายคน อย่างที่ทัณฑสถานเปิดทุ่งเบญจา ร้องเพลง “ชาตินี้ชาติเดียว” ได้ โดยทางทัณฑสถานได้ฝึกให้ผู้ต้องขังร้องเพลงนี้เป็นประจำ เพื่อเตือนใจตนเองว่า ผลกรรมไม่ว่าจะดีจะชั่วนั้น ก็สามารถเห็นผลได้ภายในชาตินี้ แต่ละคนเกิดมามีบุญไม่เท่ากัน ชาติที่แล้วทำอะไรมานั้น ไม่ต้องไปใส่ใจ รวยจนไม่สำคัญ ไม่ได้วัดสิ่งของนอกกาย แต่ที่วัดได้คือผลกรรมแห่งความดี สะสมแต่ทำความดีไม่เสียเปล่า ไม่ต้องหวังว่าอะไรที่ร้าวจะได้มันกลับคืน ออกมาจากข้างใน ไม่ใช่ด้วยใจฝืน ยิ้มและยื่นความดีให้กันและกัน คนเราเกิดมาครั้งเดียวชาตินี้ แต่ว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนไม่หมดไป ทำไปเถิดความดี ไม่ต้องรอรับชาติต่อไป
ทำชั่วและเลวเอาไว้ชาตินี้ก็รู้กัน
เราจะพบว่า ผู้ต้องขังหลาย ๆ คน เมื่อพ้นโทษไปแล้วก็กลับเป็นผู้เป็นคน มีอาชีพการงานทำ ได้เรียนหนังสือจนจบ ได้วุฒิการศึกษาแม้ตัวอยู่ในเรือนจำ คนที่เคยติดยาเสพติดก็เลิกยาเสพติด หรือยิ่งไปกว่านั้น บางคนถึงกับออกบวชเป็นพระ เพื่อแสวงหาธรรมในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต นับว่าโลกในเรือนจำได้สร้างชีวิตใหม่ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เรียกว่าสวรรค์ได้อย่างไร บุคคลเหล่านี้คือคนที่เคยตกนรกทางใจนอกเรือนจำ และเมื่อได้ถึงสวรรค์แล้ว ก็คว้าโอกาสจากสวรรค์ พัฒนาตนเองจนกลายเป็นคนที่มีคุณภาพขึ้น ดีขึ้น แน่นอนว่าสวรรค์เรือนจำอาจเปลี่ยนใจคนทุกคนไม่ได้ เพราะคนที่ออกไปแล้ว และทำผิดซ้ำซาก ต้องกลับเข้ามายังเรือนจำยังมีอีกมาก แต่สิ่งที่เรือนจำได้หยิบยื่นให้ผู้ต้องขัง ก็คือน้ำทิพย์จากสวรรค์ น้ำแห่งโอกาส ที่ใครได้ดื่มแล้วก็สามารถพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ ได้หลุดพ้นจากนรกทางใจที่กัดกินใจคน
คนเรามีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่ ศักดิ์ศรีที่ดีกว่าภพภูมิอื่นคือการเลือกจะทำดีทำชั่วได้ เลือกทางไปสวรรค์ และนรกได้ด้วยตนเอง และไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ หรือนรกนั้น ก็สัมผัสได้เพียงในชาตินี้ ไม่จำเป็นต้องรอชาติหน้าเลย ขอเพียงใช้โอกาสที่ได้มาอย่างถูกต้อง ถูกธรรม คนที่เคยทำไม่ดีมาก่อน และต้องโทษในเรือนจำ ถือว่าได้โอกาสแล้ว ได้โอกาสที่จะปรับปรุงตนเองเสียใหม่ ได้พบกับสิ่งที่เรียกว่าสัมมาทิฐิเสียที
โลกข้างนอกนี่แหละที่มนุษย์แต่ละคนต้องฟันฝ่าต่อไป ฟันฝ่ากับนรกทางใจมากมาย อย่างที่โบราณว่า กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด โบราณาจารย์ท่านจาระไนออกมาเป็นกิเลสถึงหนึ่งพันห้าร้อยตัว ตัณหาทั้งร้อยแปดอย่าง มีมากมายเต็มไปหมด ในเรือนจำยังมีกฎระเบียบมากมายไม่ให้ผู้ต้องขังต้องทำผิดคิดไม่ดี แต่คนข้างนอกนี่แหละที่ต้องกำกับจิตใจ เป็นผู้คุมให้กับตนเองไม่ให้ไหลไปตามกิเลสตัณหา เพราะถ้าไหลลงไปแล้ว นั่นแหละ ไม่ต่างกับการตกนรก ขาข้างหนึ่งตกนรกไปแล้วทีเดียว และร้ายที่สุดคือคนที่ไม่รู้ว่าตนอยู่ในนรก
เหมือนมิตตวินทะ ผู้มีกงจักรบดหัว แต่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวบนหัว จึงไม่รู้ว่าตนอยู่ในนรก ต่อเมื่อรู้แล้วก็ทำอะไรต่อไม่ได้นอกจากปล่อยให้กงจักรบดหัวตามความชั่วที่ตนได้ทำไว้ เกิดเป็นมนุษย์ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเลย นรกทั้งเป็น ขอเจริญพร