ประจวบคีรีขันธ์-ฟ้อง157 คกก.สอบวินัยสั่งปลดผญบ.ม.5 เมินคำสั่งศาล หลัง”ยกฟ้อง”คดีฯ
ภาพ-ข่าว:เอกภพ วงศ์ประเสริฐ
วันที่ 15 ม.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง อดีต ผญบ.ม.5 เข้าพบ นายชัยสิทธิ์ ปลั่งศรีสกุล ที่สำนักงานนักกฎหมายภาคประชาชน ต.เกาะหลัก อ.เมืองประจวบฯ ขอให้ช่วยนำความยุติธรรมและเที่ยงธรรมกลับคืนให้ตน กรณีจังหวัดฯ มีคำสังปลดตนออกจากการเป็น ผญบ.ม.5 โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ขณะที่ทีมงานด้านกฎหมายภาคประชาชนร่วมกันอ่านสรุปสำนวนหนังสือคำสั่งจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ ปข.0018/358 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ”แจ้งคำสั่งลงโทษปลดออกจากตำแหน่ง”ผู้ใหญ่บ้าน ม. 5 ต.เกาะหลัก อ.เมืองประจวบฯ ของ น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง ก่อนจะดำเนินการร่าง”คำฟ้อง”คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงในคดี กรณีกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องนำพาแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ น.ส.วันเพ็ญ ต้องโทษถูกกุมขังอยู่ภายในเรือนจำจังหวัดประจวบฯนานกว่า 8 เดือน โดยไม่ได้รับการประกันตัวออกมาต่อสู้คดี เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าว จนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปเมื่อปี 2565 นั้น
ต่อมา น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 ต่อสู้คดีในชั้นศาลขณะถูกจองจำนานกว่า 8 เดือน โดยอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมในวันเกิดเหตุที่กล่าวหาว่า มีส่วนร่วมกันกระทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองตามฟ้อง จนนำไปสู่กระบวนการสืบสวนพยานหลักฐาน และพยานบุคคลในชั้นศาลนานนับเดือนระหว่างถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ต่อมาอัยการศาลสูงจังหวัดประจวบฯพิจารณาคดีพยานเบิกความชุดจับกุมทั้งหมดแล้วเห็นว่า ยังขาดความน่าเชื่อได้ว่า น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง เป็นบุคคลที่นั่งอยู่ในรถเก๋งที่เกิดเหตุระหว่างชุดเจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุม ทั้งยังมีพยานบุคคลเข้าเบิกความยืนยันว่า ตนเป็นผู้หญิงคนที่นั่งไปในรถเก๋งโดยมีสามีของ น.ส.วันเพ็ญ เป็นคนขับขณะถูกจับกุม โดยอาศัยช่วงชุลมุนระหว่างการจับกุมวิ่งหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ ประกอบคำให้การของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมและพยานบุคคลไม่ชัดเจนว่าบุคคลที่หลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุนั้น คือน.ส.วันเพ็ญหรือไม่ ศาลจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (น.ส.วันเพ็ญ) โดยพิจารณาวินิจฉัยและมีคำพิพากษา”ยกฟ้อง”แล้วไม่อุทธรณ์ต่อ
ด้านนายทรงกลด สำเภามาตา คณะทีมงานที่ปรึกษาด้านกฎหมายภาคประชาชน เปิดเผยว่า หลังจากทีมงานสรุปสำนวนหนังสือคำสั่งลงโทษปลด น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง ออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.เกาะหลัก ลงวันที่ 26 มิ.ย. 66 เป็นครั้งที่ 2 ทั้งที่เจ้าตัวต่อสู้คดีอยู่ภายในเรือนจำประจวบฯนานกว่า 8 เดือน จนมีคำพิพากษาจากศาลจังหวัดประจวบฯให้” ยกฟ้อง”คดีดังกล่าว อันเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหา แต่คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่จังหวัดฯแต่ตั้งขึ้นยังคงสั่งความเห็นสรุปพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหา (สว.๓) โดยนำเอาพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการผลเรือน พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วนั้นนำมาใช้ประกอบสรุปสำนวนสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงชุดใหม่ส่งให้จังหวัดฯดำเนินการลงโทษปลด น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง ออกจากผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 เป็นครั้งที่สอง จึงเห็นว่าคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่จังหวัดฯแต่งตั้งนั้นมิชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่นำสำนวน “ยกฟ้อง”คดีดังกล่าว นำมาประกอบวินิจฉัยก่อนออกคำสั่งลงโทษปลดออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ทั้งที่กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาอุทธรณ์ร้องทุกข์คดีของนางสาววันเพ็ญ ก่อนมีคำสั่งให้จังหวัดฯเพิกถอนคำสั่งปลดฯ พร้อมแต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยใหม่
นายทรงกลด กล่าวต่อและว่า ในคดีนี้เห็นว่า น.ส.วันเพ็ญ ขาวคง ไม่ได้รับความเป็นธรรมตั้งแต่เริ่ม ซ้ำยังต้องข้อกล่าวหาถูกจับกุมขังภายในเรือนจำนานกว่า 8 เดือน ศูนย์สิ้นอิสระภาพทางสังคม ครอบครัวแตกสลาย บ้านและทรัพย์สินต้องหลุดจำนองถูกยึดขายทอดตลาด ตนเองต้องต่อสู้คดีอยู่ภายในเรือนจำนานนับเดือนก่อนมีคำพิพากษา”ยกฟ้อง”ให้พ้นจากข้อกล่าวหา หลังออกมาดำรงชีพหาเลี้ยงตนเองต้องถูกสังคมรอบข้างมองว่าเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านแปดเปื้อนมีมลทินติดตัว และเห็นว่าการออกคำสั่งปลดออกจากตำแหน่งในคดีดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอยากเรียกร้องสิทธ์โดยชอบให้นางสาววันเพ็ญในคดีดังกล่าว ดำเนินการฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 ต่อเจ้าหน้าที่คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงในคดีดังกล่าวฐานความผิด ปฏิบัติหรือระเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯลฯ หลังจากนางสาววันเพ็ญ ขาวคง ดำเนินการเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงทั้งหมดไว้ที่ สภ.เมืองประจวบฯก่อนจะดำเนินการฟ้องคดีนี้ด้วยตนเอง นายทรงกลด กล่าว