จับแล้ว..! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ส่งลิงก์ให้เหยื่อกด เข้าควบคุมโทรศัพท์ โอนเงินออกสูญ 4 ล้าน
ภาพ-ข่าว:อริย์ธัช พรอัศวโยธิน
กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้า หลอกลวงคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ส่งลิงก์ให้เหยื่อติดตั้งกรอกข้อมูลส่วนบุคคล แล้วเข้าควบคุมโทรศัพท์ โอนเงินออกจากบัญชี ความเสียหาย 4 ล้านบาท
ตามที่มีประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่งข้อความสั้น sms หลอกลวงจะทำการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าไปให้ผู้เสียหาย จนเกิดความหลงเชื่อ จากนั้นจะให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนทางแอปพลิเคชั่น Line โดยปลอมโปรไฟล์เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ทำการพูดคุยและส่ง URL ให้ผู้เสียหายทำการติดตั้งในโทรศัพท์เพื่อลงทะเบียนกรอกข้อมูลส่วนบุคคลและรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นคนร้ายจะใช้โปรแกรมดังกล่าวเข้าควบคุมโทรศัพท์ และเข้าทำธุรกรรมทาง การเงิน โดยโอนเงินในแอปพลิเคชั่นธนาคารของผู้เสียหายออกไปยังกลุ่มบัญชีธนาคารของคนร้าย (บัญชีม้า) จำนวน 2 บัญชี รวมเป็นเงิน 4,000,000 บาท ผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้มาร้องทุกข์กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ต่อมาพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 ได้สืบสวนสอบสวนจนทราบตัวผู้ร่วมกระทำความผิดดังกล่าว และได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหานี้ไว้
ต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2566 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด และ พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน กก.4 บก. สอท.1 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นางสาวประภาแก้ว (สงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ได้ที่บริเวณโรงพยาบาลอำเภอค้อวัง ต.ค้อวัง อ.ค้อวัง จว.ยโสธร ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และ ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบ ซึ่งระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ , ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไขเปลี่ยนแปลงซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันมิชอบ , เป็นผู้เปิดหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตน หรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง โดยประการที่รู้หรือควรจะรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติด และเคยถูกจับกุมมาก่อน
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ กล่าวว่า คดีนี้นับเป็นภัยสังคม โดยมิจฉาชีพจะอาศัยสถานการณ์ในห้วงเวลานั้นๆ มาทำการหลอกลวง สำหรับคดีนี้เป็นช่วงที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและ ค่าสาธารณูปโภค ทำการส่ง sms หลอกลวงผู้เสียหาย โดยอ้างว่าจะทำการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าให้ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจะให้เพิ่มเพื่อนใน Line ที่ใช้โปร ไฟล์เป็นหน่วยงานราชการ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ จากนั้นจะส่ง URL ให้ผู้เสียหายทำการติดตั้งลงในโทรศัพท์เพื่อลงทะเบียนกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ เมื่อทำการติดตั้งแล้ว คนร้ายจะรีโมทเข้ามาควบคุมโทรศัพท์ โดยได้ข้อมูลรหัสต่างๆ ที่ผู้เสียหายกรอกลงไป และโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายผ่าน Mobile Banking ออกไปยังบัญชีม้า จำนวน 2 บัญชี รวมเป็นเงิน 4,000,000 บาท
สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้นี้ ให้การรับสารภาพว่า “ได้ขายบัญชีธนาคารให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ โดยได้รับค่าตอบแทนจำนวน 300 บาท ข้อมูลจากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายได้มีการโอนเงินต่อกันไปเป็นทอดๆ และสุดท้ายพบว่ามีการกดเงินออกจากตู้เอทีเอ็ม บริเวณพื้นที่ชายแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ อยู่ระหว่างขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด”
พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ผบก.สอท.1 ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ควรรับเพิ่มเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากจะรับขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี รวมทั้งไม่ควรกดลิงก์จากคนแปลกหน้าหรือผู้ที่ไม่รู้จัก เมื่อมีการติดต่อจากผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ ควรตรวจสอบยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือไม่ และหากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนอีกด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสอบถาม สายด่วน ตำรวจไซเบอร์ 1441 ได้ทันที