ประจวบคีรีขันธ์-ผู้ใหญ่บ้านแฉแหลก..!!เผยพฤติกรรมตำรวจอุ้มรีดในประจวบฯมีอยู่จริง

ประจวบคีรีขันธ์-ผู้ใหญ่บ้านแฉแหลก..!!เผยพฤติกรรมตำรวจอุ้มรีดในประจวบฯมีอยู่จริง

ภาพ-ข่าว:เอกภพ วงษ์ประเสริฐ

            วันที่ 24 ก.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเมื่อเวลา 16.00 น. กรณีเกิดเหตุกลุ่มคนร้ายไม่ต่ำกว่า 3 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากภาค 7 ก่อเหตุอุ้มตัว นางพัชรี อายุ 48 ปี โดยการใช้ผ้าดำคลุมหัวแล้วอุ้มขึ้นรถเก๋งยี่ห้อ Honda สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนออกไปจากหมู่บ้าน หลังจากกลับไปส่งหลานที่โรงเรียนเมื่อช่วงเวลาประมาณ 08.30 น. ของวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ที่ผู้สื่อข่าวได้เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น

            คืบหน้ากรณีนี้ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่ไปพูดคุยสอบถามความคิดเห็นกับผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ตำบลเกาะหลัก ซึ่งเป็นตำบลเดียวกับพื้นที่เกิดเหตุของผู้เสียหาย กรณีนี้ นายประจักษ์ สนสนิท ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านมะขามโพรง เปิดเผยว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับยาเสพติด จากการที่เคยสอบถามกับผู้เสียหายซึ่งเป็นลูกบ้านที่ถูกตำรวจจับไปแล้วและถูกปล่อยตัวออกมา ยืนยันว่ามีพฤติกรรมตำรวจที่กระทำเช่นนี้มีอยู่จริง โดยจะนำไปอยู่ห้องเซฟบางรายนำไปปล่อยครึ่งทางหลังจากที่มีการเจรจาได้เงินกันไปแล้ว ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เคยได้ไปสอบถามกับญาติผู้ที่ถูกจับและตัวผู้ที่ถูกจับก็ยอมรับว่าเคลียร์เงินไปแล้ว
            โดยส่วนใหญ่ผู้ที่มาจับผู้เสพผู้ค้ายาเสพติดในหมู่บ้านมักจะไม่อ้างตัวหรอกว่าเป็นตำรวจ แต่คือตำรวจตัวแท้ๆเลย ซึ่งจังหวัดประจวบของเราเป็นอยู่เช่นนี้มานานแล้ว ซึ่งที่ทำๆกันอยู่ส่วนใหญ่พาไปเข้าเซฟเฮ้า เพื่อรอเงิน พอได้เงินแล้วก็ปล่อยตัวกลับ ไม่ได้ดำเนินคดีไม่ได้ส่งของกลาง บางกรณีพาขึ้นรถไปคุยเรื่องเงินเรื่องทอง พอคุยกันลงตัวก็ปล่อยลงรถระหว่างทางไม่เคยดำเนินคดี ส่วนรายไหนที่ถูกดำเนินคดีก็คือไม่ได้มีการเคลียร์เงิน เป็นอยู่เช่นนี้มาหลายสิบปี และไม่มีใครเอาจริง เพราะฉะนั้นยาเสพติดจึงอยู่แบบนี้ไม่ยอมหมดไปสักทีมีทุกหมู่บ้านทั่วไป โดยเฉพาะที่หมู่บ้านมะขามโพรงแห่งนี้ ขายกันเต็มบ้านเต็มเมืองแทบทุกบ้าน เด็กวัยรุ่นเสพกันแทบทุกคน เสพกันจนหลอน และรู้มาว่าแก๊งที่เข้ามาทำงานในพื้นที่หมู่บ้านแห่งนี้บ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเรียกรับเงิน เมื่อเรียกรับเงินได้ไปแล้วบางทีมีให้ผู้ต้องหาเอายากลับมาขายต่อในหมู่บ้านแล้วเก็บส่วยแบ่งกัน ส่วนใหญ่ผู้ที่ขายยาและตำรวจจะปิดข่าวกันไม่แจ้งให้ผมรู้ มารู้อีกทีเมื่อเขาดำเนินการตกลงเจรจาผลประโยชน์กันเสร็จแล้ว ส่วนคนที่ถูกจับดำเนินคดีเมื่อกลับออกมาแล้วก็กลับมาทำผิดอีกผมเคยเตือนเคยป้องปรามแต่ไม่มีใครเคยรับฟัง โดยส่วนตัวเชื่อว่าพฤติกรรมของตำรวจลักษณะนี้มีอยู่จริง

            ด้านนายทศพล เทศทอง อายุ 64 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้านดอนเหียง หมู่ 10 ตำบลเกาะหลัก ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า พฤติกรรมเจ้าหน้าที่นอกรีดแบบนี้ถามว่าชาวบ้านจะอยู่อย่างไร แบบนี้เหมือนเข้าข่ายอุ้มเรียกทรัพย์ หรือขูดรีด ซึ่งถ้าถามความคิดเห็นของตนผมมองว่าทำไม่ถูกต้อง ซึ่งการทำแบบนี้เป็นลักษณะเหมือนโจรในเครื่องแบบ อาศัยเครื่องแบบเป็นตำรวจแต่คือโจร โดยส่วนตัวเชื่อว่ามีตำรวจร่วมขบวนการด้วยแน่นอน แต่ไม่ทราบว่ามีใครบ้างเพราะเคยได้ยินไม่ใช่รายเดียว ซึ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้มานานเป็นปีแล้ว รายนี้เป็นรายแรกของหมู่บ้าน แต่ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเคยมีชาวบ้านเดือดร้อนประเภทนี้หลายรายหลายเจ้า ชาวบ้านที่ถูกกระทำไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเลย เพราะเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา เรียกร้องก็เหมือนถ่มน้ำลายขึ้นฟ้ารดหน้าตัวเอง และชาวบ้านบางคนก็มองว่ารู้ว่าขี้อย่าเอาไม้เอามือไปแหย่เดี๋ยวจะเดือดร้อนภายหลัง สู้กู้หนี้ยืมสินให้เขาไปดีกว่าเพื่อตัดปัญหาทั้งที่ครอบครัวของตัวเองไม่มีจะกินอยู่แล้ว แต่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้พวกตำรวจนอกรีตพวกนี้ ที่จริงตัวผมเองก็อยากจะให้พฤติกรรมพวกนี้หมดไปจากพื้นที่ ถ้าเจ้าหน้าที่ประพฤติปฏิบัติดีประชาชนก็อยู่อย่างเป็นสุข แต่ถ้าทำลักษณะนี้ประชาชนอยู่ไม่เป็นสุขหรอกต้องอยู่อย่างหวาดระแวง เช่น กรณีตอนผู้กำกับโจ้ดังเป็นกระแส ก็ทำให้พฤติกรรมเหล่านี้เงียบไปพักหนึ่ง แต่ตอนนี้เริ่มมีอีกแล้ว

สาวถูกอุ้มยันตำรวจชื่อ”แงะ”..หน้าเหมือนกับคนร้ายใส่หมวกที่เดินมาล็อคคอตนก่อนขึ้นรถ-ข้องใจทำไมฝ่ายตรงข้ามรู้ความเคลื่อนไหวของตนตลอด

             วันที่ 24 กันยายน 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นางพัชรี วัย 48 ปี ถูกกลุ่มคนร้ายสวมแมสปิดบังใบหน้ากว่า 3 คน ขับรถเก๋ง Honda สีขาว เข้ามาในหมู่บ้านแล้วล็อคคอใช้ผ้าดำคลุมหัวแล้วอุ้มขึ้นรถ พาไปจากจุดเกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 50 เมตร แล้วพาหายตัวไปตลอดทั้งวัน และมีเรียกร้องเงินจากญาติให้นำเงินจำนวน 300,000 บาท มาไถ่ตัว เหตุเกิดภายในหมู่บ้านดอนเหียง หมู่ 10 ตำบลเกาะหลัก อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 66 ที่ผ่านมา ที่ผู้สื่อข่าวได้เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
            คืบหน้าล่าสุดวันนี้ เวลาประมาณ 10.00 น.ทางด้าน พ.ต.อ.ไพฑูรย์ พรมเขียน ผู้กำกับการ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สอบสวน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี โดยไม่ได้อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปติดตามบันทึกภาพ โดยหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมผู้สื่อข่าวได้สอบถามความคืบหน้าจากผู้กำกับ สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ โดยให้เหตุผลว่าให้สัมภาษณ์ไม่ได้ ไม่มีอำนาจ และเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงชายบุคคลที่ชื่อแงะว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ ท่านผู้กำกับตอบเพียงสั้นๆว่ายังไม่รู้ เมื่อถามว่ากลุ่มคนร้ายที่เหลือเป็นตำรวจหรือไม่ ผกก.ตอบว่าไม่ใช่ และยังบอกอีกว่าผมพูดอะไรมากไม่ได้ ทุกอย่างสื่อรู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแต่อยากให้ผมเป็นคนพูดออกจากปากใช่หรือไม่ ขอให้เข้าใจผมด้วย แต่วันนี้จะพยายามติดตามจับกุมตัวมาให้ได้ภายในวันนี้ เนื่องจากรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้วจะได้จบจบกันไป ส่วนเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงในประเด็นที่ผู้เสียหายสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นบุคคลของพักพวกตำรวจคนที่ชื่อแงะรู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับสำนวนการแจ้งความของผู้เสียหาย และความเคลื่อนไหวของฝ่ายผู้เสียหายท่านผู้กำกับตอบว่าเรื่องนี้ไม่ทราบ ถ้าติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาได้แล้วจะแจ้งให้สื่อทราบ
             ด้านนางพัชรี อายุ 48 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากที่ตนเองได้ถูกปล่อยตัวกลับมาบ้านแล้ว ได้เล่าให้ลูกสาวฟังว่าในระหว่างที่ตนถูกกลุ่มคนร้ายควบคุมตัวได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดัง และได้ยินในกลุ่มคนร้ายเรียกคนชื่อแงะ และลูกสาวยังได้บอกกับตนว่ามีตำรวจที่ชื่อแงะได้โทรมาบอกลูกสาวตนว่าแม่ถูกจับตัวไปเป็นตำรวจจากภาค 7 และลูกสาวได้ เปิดรูปภาพของตำรวจจาก Facebook ของคนชื่อแงะให้ตนดู เพราะลูกสาวตนรู้จักกับตำรวจที่ชื่อแงะก่อนหน้านี้ ส่วนตนไม่รู้จักคนชื่อแงะ ตนจึงมั่นใจและจำได้ว่าคนที่ใส่หมวกไม่ได้ปิดแมสแล้วลงจากรถเดินมาล็อคคอตน ก่อนที่พรรคพวกอีก 3 คนจะเดินเอาผ้าดำมาคลุมหัวแล้วเอาปืนจี้ศีรษะพาขึ้นรถไป หน้าเหมือนกันกับตำรวจที่ชื่อแงะที่ลูกสาวเปิดให้ดู
             นอกจากนี้ตนกับลูกและญาติยังสงสัยว่าทำไมความเคลื่อนไหวของการไปแจ้งความที่โรงพัก โดยพักพวกคนที่รู้จักกับตำรวจที่ชื่อแงะได้แชทข้อความเชิงมาข่มขู่พวกตนผ่านหลานคนรู้จัก โดยในข้อความแชทคนที่มาข่มขู่อ้างว่ารู้ข้อมูลจากตำรวจในโรงพักอักษรชื่อย่อ “ป” เรื่องนี้ตนมองว่าถ้ามีตำรวจทำแบบนี้จริงก็ไม่ถูกต้อง ตนมาร้องทุกข์แต่ข้อมูลถูกส่งต่อไปให้ฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ ตนจะเชื่อใจตำรวจได้อย่างไร จะหวังพึ่งตำรวจได้อย่างไร และจะให้ตนไปสอบปากคำเพื่ออะไร จึงอยากให้มีการสอบสวนเรื่องนี้ว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ข้อมูลของฝ่ายตนจากใคร และอยากให้ตำรวจช่วยติดตามตัวกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุมาให้ได้โดยเร็ว ตนหวั่นกลัวเรื่องความไม่ปลอดภัย ทุกวันนี้ต้องอยู่รวมกลุ่มกันหลายคน และเสียดายเงินที่เสียไป ตนต้องนำเงินที่ยืมเขามาไปคืนเงินจำนวนไม่ใช่น้อยๆ ตนขายของหาเงินเลี้ยงชีพหาเช้ากินค่ำ
            ด้านนางสาวพรพิมล (ลูกสาวผู้เสียหาย) อายุ 28 ปี เล่าว่า หลังจากที่แม่ถูกจับตัวไปไม่นานก็มีตำรวจคนที่ชื่อแงะได้โทรศัพท์มาหาตนบอกว่าแม่ถูกจับตัวไปเป็นตำรวจภาค 7 รู้ได้อย่างไร และหลังจากที่แม่ถูกปล่อยตัวมา แม่ได้เล่าให้ฟังว่าในกลุ่มคนร้ายเอ่ยเรียกคนชื่อแงะ ตนจึงได้เปิดภาพในเฟซบุ๊คของตำรวจที่ชื่อแงะคนที่ตนรู้จักให้แม่ดู โดยแม่ยืนยันว่ามันเป็นคนเดียวกันกับคนที่ใส่หมวกแล้วเดินมาล็อคคอพาแม่ไปขึ้นรถ เนื่องจากคนนี้แม่จำหน้าได้แม่นเพราะไม่ได้สวมแมสปิดบังใบหน้า

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!