ปทุมธานี-เครือข่ายคนพิการ วอนสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ไม่ลดโควต้าสลากกินแบ่ง
ภาพ-ข่าว:ทีมข่าวจังหวัดปทุมธานี
วันที่ 14 ก.พ.2566 กลุ่มเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการและคนตาบอดผู้ค้าสลากไทยโดยนายไพฑูรย์ หลงยี่ประธานกลุ่มฯ ได้ วอนสภาสังคมสงเคราะห์แห่ง ประเทศไทย ในพระบรมราชูถัมภ์ ผ่านศูนย์ผดุงธรรมโดยนายธีรวงศ์ สรรค์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์ผดุงธรรม กรณีเรียกต่อสัญญาโควตาสลากซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสลากของสภาสังคมสงเคราะห์ฯในวันที่ 22-24 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการเรียกต่อสัญญาตัวแทนจำหน่ายในครั้งนี้มีการปรับ-ลด จำนวนโควตาสลากเดิม เช่นผู้ที่มีสลากเกิน 5 เล่มขึ้นไปก็ให้ปรับ-ลด เหลือเพียง 5 เล่มเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อปี พ.ศ.2565 ก็เคยมีการปรับ-ลดไปแล้ว 1 ครั้ง จากผู้ที่มีสลากเกินกว่า 8 เล่ม ให้เหลือเพียง 8 เล่มเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการของสภาสังคมสงเคราะห์ฯดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรมและขาดเมตตาธรรมต่อคนยากไร้
โดยเฉพาะผู้พิการที่เขาประกอบอาชีพค้าสลากเลี้ยงตนเองและครอบครัวมาเป็นเวลานานกว่า 30 ปีถึง 40 ปี แต่ปรากฏว่าสภาสังคมสงเคราะห์ฯอาจใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมเพราะเนื่องจากไม่ได้เรียกผู้ที่เป็นเจ้าของโควตาสลากเดิมมาประชุมพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยสันติ กลับใช้อำนาจเผด็จการละเมิดสิทธิ์โดยพฤตินัยของผู้พิการและผู้ยากไร้ที่เป็นเจ้าของโควตาเดิม การกระทำดังกล่าวนี้อาจเป็นการรังแกคนยากคนจน คนพิการ ทั้งที่สภาสังคมสงเคราะห์ฯในอดีตและปัจจุบันมีภาพลักษณ์ในการช่วยเหลือคนยากคนจนและผู้ด้อยโอกาส มาวันนี้การกระทำของสภาสังคมสงเคราะห์ฯกลับทำร้ายจิตใจและความมั่นคงในอาชีพของคนยากคนจนทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ที่จะอยู่กับสภาสังคมสงเคราะห์อีกต่อไป ซึ่งทางกลุ่มเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการและคนตาบอดผู้ค้าสลากไทย ได้รับการร้องเรียนจากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องเรียนเป็นจำนวนมากในกรณีดังกล่าว ทางกลุ่มเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์คนพิการและคนตาบอดผู้ค้าสลากไทย ได้พิจารณาว่าการกระทำของสภาสังคมสงเคราะห์ฯไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อผู้ยากไร้
ทั้งนี้ทางศูนย์ผดุงธรรมได้ข้อเท็จจริงว่าขณะนี้มีเจ้าหน้า กรรมการ และเจ้าหน้าที่ระดับบริหาร รวมหลายคนพากันลาออกสืบเนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ โดยมีการปรับลดโควต้าคนพิการเดิมที่ได้รับมานานบางรายเป็นระยะเวลาหลายสิบปี จาก 8 เล่มเป็น 5 เล่ม คนพิการที่ได้รับสิทธิ์เดิมจะมีรายได้หายไปถึง 2,880 บาท/3เล่ม รวมรายได้จะหายไปสูงถึง 5,760 บาท/เดือน/คน โดยสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้ให้เหตุผลว่าได้ทำการเปิดให้คนพิการและยากไร้รายใหม่ได้รับสิทธิ์เพิ่มขึ้นจำนวนกว่า 40,000 ราย เพื่อแบ่งรายได้จากคนพิการที่ได้รับสิทธิ์เดิม โดนที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลให้โควต้าคนพิการเท่าเดิมที่ 13,405 เล่ม
ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มคนพิการตั้งแต่ปี พศ. 2517 กำหนดให้มีองค์กรมาเป็นตัวกลางในการรับโควต้ากองสลากฯ ซึ่งกลุ่มคนพิการได้ขอให้สภาสังคมสงเคาะห์ฯ เข้าทำหน้าที่และได้มีค่าดำเนินการจากโควต้าสลากเป็นส่วนหนึ่งแล้ว อาจมีการตั้งข้อสังเกตุได้ว่าถ้าสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ต้องการช่วยคนพิการให้ได้จำนวนมากขึ้นจึงควรเจรจาขอโควต้าจากสำนักงานสลากฯ ให้มากขึ้น หรือลดค่าดำเนินการที่หักจากการเป็นตัวกลางในการรับสลาก ไม่ใช่การหักจากรายได้คนพิการรายเดิม ซึ่งโควต้าควรได้กับคนพิการเท่านั้น อาจพิจารณากรณีผู้ยากไร้ที่มีปัญหาในการพิสูจน์ตามมา เพราะความยากไร้ที่เป็นช่วงระยะเวลา และยากต่อการแสดงหลักฐานข้อเท็จจริง ซึ่งทางศูนย์ผดุงธรรมเชื่อว่าสภาสังคมสงเคราะห์ที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งสภาฯ เพื่อช่วยเหลือคนพิการ รวมถึงผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อน จะไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวต่อบาปแสวงหาประโยชน์ใดๆ ในสภา และโกงเงินคนพิการอย่างแน่นอน นอกจากความหวังดีเจตนาที่บริสุทธิ์ของกลุ่มเจ้าหน้าที่และกรรมการซึ่งมีเจตนาเพื่อกระจายความสุขและความเท่าเทียมให้มากขึ้นในสังคม โดยทางศูนย์ผดุงธรรมจะดำเนินการติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป