นครปฐม-“หลวงพี่น้ำฝน” ชี้ถึงเวลาสะสางจับพระปลอม เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินคดีอาญา ขั้นเด็ดขาด
ภาพ-ข่าว:คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน
บ.ก.อริย์ธัช พรอัศวโยธิน
หลวงพี่น้ำฝน แจงในฐานะประธานพระวินยาธิการ(ตำรวจพระ) กรณี เจ้าคณะอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมเถื่อน โดยพบพระเจ็ดรูป ไม่ออกจากพื้นที่ตามคำสั่งคณะสงฆ์ และมีพระปลอมร่วมด้วย ชี้นับจากนี้เจ้าหน้าที่รัฐหากพบความผิดต้องแจ้งความในคดีอาญา ฐานแต่งกายเลียนแบบพระ เชื่อว่าช่วยแก้ปัญหาพระปลอม ได้แต่ต้องทำงานแบบรณาการร่วมกัน ทุกภาคส่วน ย้ำถึงเวลาต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วันที่ 31 พฤษภาคม 67 ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานีพร้อมด้วยเจ้าคณะอำเภอหนองเสือ ได้เข้าทำการตรวจค้นสำนักสงฆ์เถื่อนแห่งหนึ่ง ในตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดจังหวัดปทุมธานีหลังจากมีประกาศให้พระสงฆ์ออกจากพื้นที่ดังกล่าวภายในเจ็ดวัน ซึ่งมี หลังจากพ้นกำหนดเวลายังปรากฏมีพระสงฆ์แปดรูปอาศัยอยู่ในสถานที่ดังกล่าว โดยพบว่าหนึ่งในนั้นเป็นพระที่เคยถูกสั่งให้ลาสิกขาไปแล้วแต่กลับมามีการแต่งกายเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับกรณีดังกล่าว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานคณะทำงานดำเดินการแก้ไขข้อขัดข้อง ระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 หรือพระวิทยาธิการ (ตำรวจพระ) ได้ให้ความเห็นกับสื่อมวลชน ที่มาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า เหตุการณ์อย่างนี้อยู่ที่คณะสงฆ์ปกครอง ซึ่งมีเจ้าคณะตำบลเป็นผู้ปกครองดูแลพื้นที่นั้นๆ ว่าจะมีการ เข้มงวดหรือกวดขันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างไร ซึ่งในวันนี้เห็นว่ามีการประสานงานทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สำนักงานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการอยู่แล้ว ซึ่งการก่อตั้งเป็นสำนักสงฆ์ต้องมีการ แจ้งเจ้าอาวาสให้ทราบและมีการขึ้นทะเบียน โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนั้นนั้น
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า สำหรับในกรณีดังกล่าวหากเป็นการดำเนินการของ อาตมาก็จะมีการประสานงานกับ เจ้าคณะตำบลผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ประกอบด้วยสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการตรวจสอบตรวจสอบ ซึ่งแยกเป็นสองกรณีกรณี กรณีพระที่ถูกสั่งให้กลับไปที่วัดต้นสังกัด และบุคคลที่มีการถูกสั่งให้มีการสึกไปแล้วแต่กลับมีการกลับมาสวมจีวรทำตัวเหมือน หากเป็นเช่นนี้สิ่งที่ต้องดำเนินการคือเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องทำหน้าที่เป็นเป็นตัวแทนในการแจ้งความเอาผิดในคดีอาญา ฐานแต่งกายเลียนแบบพระ โดยตอนนี้มหาเถรสมาคมได้มีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าคณะจังหวัดทุกจังหวัดให้มีการตั้งทีมกฎหมายสำหรับคณะสงฆ์เพื่อให้ความรู้ และข้อปฏิบัติสำหรับการกวดขันในเรื่องดังกล่าวแล้ว
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อไป ตอนนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการใช้ข้อกฎหมายเข้ามา ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวซึ่งในจังหวัด ในฐานะที่เป็นประธานพระวิญยาธิการ ก็ได้มีหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการตรวจสอบกวดขันพระที่ประพฤติไม่เหมาะสม และพระปลอมที่แพร่ระบาด โดยทำงานร่วมกันกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยหากประชาชนมีข้อสงสัย ว่าพระรูปนั้นเป็นพระจริงหรือไม่ก็สามารถร้องไปที่เจ้าคณะตำบลแต่ละตำบล ซึ่งท่านก็จะประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนั้นนั้นออกตรวจสอบ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายและฝ่ายบ้านเมือง ส่วนกรณีที่จะตรวจสอบว่าพระรูปใดเป็นพระจริงหรือปลอมทำได้ไม่ยาก เพราะสามารถดูได้จากเอกสารที่ติดตัวมา ว่าบวชที่วัดใด ใครเป็นเจ้าอาวาส และใครเป็นพระอุปปัชฌา หากพบว่ามีความผิดก็จะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที
“วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันหน้าร่วมกันในการปราบปรามพระปลอม โดยการบูรณาการและมีการติดตามผลเพื่อให้คณะสงฆ์อยู่ในกรอบระเบียบ และปราบปรามพระปลอมที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในหลายจังหวัด โดยตอนนี้ถือเป็นคำสั่งที่มหาเถรสมาคมได้สั่งการไปแล้วทุก ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดทุกแห่งก็รับทราบและพร้อมปฏิบัติ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายฝ่ายบ้านเมืองแล้ว ซึ่งหากทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันก็จะเกิดความสงบเรียบร้อยเห็นผลอย่างดีขึ้นแน่นอน” หลวงพี่น้ำฝนกล่าวปิดท้าย