เพชรบุรี-อดีตตำรวจเมืองเพชร นำทีมเอาผิดอาญาผู้สมัครสว.ที่มีลักษณะต้องห้าม

เพชรบุรี-อดีตตำรวจเมืองเพชร นำทีมเอาผิดอาญาผู้สมัครสว.ที่มีลักษณะต้องห้าม

ภาพ-ข่าว:สุรพล นาคนคร

         พบ สว.คนดัง เกศกมล เปลี่ยนสมัย ถูกร้องกระทำผิดตามพรป.การได้มาซึ่งสว.2561 ตั้งแต่รอบอำเภอไปก่อนแล้ว ขณะที่มือปราบหน้าหยก อดีตตำรวจเมืองเพชร นำทีมอดีตผู้สมัครสว.หอบหลักฐานร้องพนักงานสอบสวนเอาผิดอาญาผู้สมัครสว.ที่มีลักษณะต้องห้ามและใช้ข้อมูลสมัครอันเป็นเท็จ หลังพบกกต.นิ่งเฉย
       พล.ต.ต.บัญญัติ เพียรสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร สว.เพชรบุรี นำทีมอดีตผู้สมัคร สว. หอบหลักฐานแจ้งความตำรวจ เอาผิดผู้สมัคร สว.ที่ใช้ข้อมูลเท็จ และมีพฤติการณ์ละเมิดกฎหมาย ต้องการให้เป็นเกรณีตัวอย่างแก่ผู้สมัคร สว.ทุกจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมเอาผิด กกต. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
        เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 กรกฎาคม พล.ต.ต.บัญญัติ เพียรสวัสดิ์ อดีตผู้ทรงคุณ วุฒิตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเคยดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี ในฐานะเป็นอดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ใน จ.เพชรบุรี กลุ่ม ๒ กฎหมายและกระบวน การยุติธรรม พร้อมนายกฤษณ์ ขำทวี กรรมการและเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น น.ส.สุมล สุตะวิริยวัฒน์ อดีต สว.เพชรบุรี และกลุ่มผู้สมัคร สว.จังหวัด เพชรบุรี รวมกว่า 10 คน ซึ่งเป็นผู้สมัคร สว.ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ได้รวมตัวเข้าร้องทุกข์กับพ.ต.ต. ปัญญาพล ศรีเมฆ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี ให้ดำเนินคดีกับผู้สมัคร สว.บางคนที่ทำผิดกฎหมาย
          ข้อหา “รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกไม่ว่าเพราะเหตุใด แต่ได้สมัครรับเลือก” และดำเนินคดีกับผู้รับรองและพยานซึ่งลงลายมือชื่อรับรองผู้สมัคร สว. ข้อหา “รับรองหรือเป็นพยานลงลายมือชื่อรับรองเอกสารหรือหลักฐานที่ใช้ประกอบการสมัครเป็นเท็จ” อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 74, 75 โดยมี พ.ต.อ.ธัญญะ ครุฑเผือก รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี, พ.ต.อ.วันชัย ขาวรัมย์ ผกก.สภ.เมืองเพชรบุรี ร่วมรับทราบคำร้องทุกข์เพื่อให้ดำเนินคดี
           นายกฤษณ์ เปิดเผยว่า กลุ่ม สว.ที่รวมตัวมาร้องทุกข์ครั้งนี้ พบหลักฐานในการกระทำผิดคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือก สว.ในพื้นที่ จ.เพชรบุรีครั้งนี้จำนวนมาก แต่ครั้งนี้จะดำเนินการแจ้งร้องทุกข์นำร่องก่อนจำนวน 3 ราย โดย 2 รายแรก เป็นผู้สมัครกลุ่ม 4 กลุ่มการสาธารณสุข ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้สมัครดังกล่าว เป็น อสม.แค่ 1 ปี แต่ระบุในใบสมัครว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งตามกฎหมายต้องมีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 10 ปี และอีก 2 รายเป็นแม่และลูกกัน โดยแม่สมัครกลุ่ม 14 และลูกสมัครกลุ่ม 7 ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม

          โดยกลุ่ม สว.ที่รวมตัวมาร้องทุกข์ได้นำข้อมูลเอกสารหลักฐานทั้งหมด มอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนว่าทั้ง 3 รายนี้เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครแต่ยังลงสมัคร ส่วนผู้ให้การรับรองผู้ลงสมัครดังกล่าวมีความผิดฐานรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ ตาม พรป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ฯหรือไม่ และหากพบว่าผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ในการรับสมัครและต้องตรวจสอบคุณสมบัติ แต่ไม่ดำเนินการตรวจสอบหรือดำเนินการตามกฎหมาย ก็จะมีความผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
         พล.ต.ต.บัญญัติ กล่าวว่าการร้องทุกข์ครั้งนี้ เนื่องจากพบว่ามีการกระทำความผิดตาม พรป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ซึ่งมาตรา 88 บัญญัติให้ผู้สมัคร สว.เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งพวกตนที่ มาแจ้งความทุกคนล้วนเป็นผู้สมัคร สว. และเห็นว่าจนบัดนี้ กกต.ยังไม่มีการดำเนินคดีต่อทำความผิดแต่อย่างใด ทำให้การเลือก สว.ครั้งนี้มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เพราะมีผู้ทำผิดกฎหมายที่ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกเป็นสว.ได้สมัครและใช้สิทธิเลือก สว. กันเป็นจำนวนมาก กลุ่มตนมีข้อมูลผู้ทำผิดกฎหมายและมีพยานหลักฐานชัดเจน จึงได้มาใช้สิทธิในฐานะเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

          พล.ต.ต.บัญญัติ กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้จะเห็นใจว่าส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ถูกชัก จูงมาด้วยอามิสสินจ้าง แต่บุคคลเหล่านี้เปรียบเสมือนคนเปิดบัญชีม้าให้แก๊งต้มตุ๋น ต้องเริ่มหาพยานหลักฐานจากระดับนี้ก่อน เพื่อขยายผลให้ถึงตัวการใหญ่ อย่างไรก็ตามถ้าชาวบ้านผู้ทำความผิดให้ข้อมูล ชี้เบาะแส หรือให้การเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์การกระทำความผิดของตัวการสำคัญ เชื่อว่า กกต.ก็อาจจะกันไว้เป็นพยานตาม พรป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 76 ก็เป็นได้ ถ้า กกต.ปล่อยให้คนที่ไม่มีสิทธิเข้าไปใช้สิทธิเลือกคนที่จะไปดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ และปรากฏว่าเป็นกรณีเช่นนี้ทั่วทั้งแผ่นดิน กกต.จะอ้างว่าการเลือก สว.ครั้งนี้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมได้อย่างไร
          หลังจากร้องทุกข์ในวันนี้แล้วจะติดตามดูว่า กกต.จะรดำเนินการกับผู้กระทำผิดรายอื่นอีกหรือไม่ หากยังเพิกเฉยโดยอ้างเหตุตามที่นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.อ้างว่าลงโทษคนตามความรู้สึกไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐาน ในขณะที่ กกต.มีบุคคลากรและงบประ มาณมากมายแต่ไม่สามารถสืบสวนค้นหาตัวผู้ทำผิดกฎหมายได้กลับกลายเป็นประชาชน ที่ไม่มีบุคลากรและงบประมาณกลับมีความสามารถหาคนทำผิดมาให้เห็นได้ ถ้า กกต.ยังเกียร์ว่าง กลุ่มผู้ร้องทุกข์จะนำรายชื่อผู้ทำผิดกฎหมายไปมอบให้ กกต. เพื่อให้ดำเนินการอีกครั้ง เพื่อให้ กกต.เกิดความสำนึกในหน้าที่และมีความรับผิดชอบ และในที่สุดหากยังเพิกเฉยไม่ดำเนินการอีก กลุ่มผู้ร้องทุกข์จะใช้สิทธิความเป็นผู้เสียหาย ร้องทุกข์หรือฟ้องผู้ทำผิดเอง แล้วผลเสียหายจะเกิดกับ กกต.ในภายหลังที่ไม่ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่อย่างแน่นอน

        “ผมและกลุ่ม สว.ที่รวมตัวมาร้องทุกข์ครั้งนี้ไม่ใช่เป็นพวกขี้แพ้ชวนตี แต่ต้องการทำเพื่อความถูกต้องชี้ช่องให้ผู้เกี่ยวข้องทราบข้อมูลของผู้ที่รุมข่มขืน รุมโทรมประชาธิปไตย ที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติแต่ลงสมัครเพื่อหวังผลประโยชน์ เชื่อว่ามีการกระทำผิดลักษณะนี้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ” พล.ต.ต.บัญญัติ กล่าว
        พ.ต.อ.ธัญญะ รอง ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี พ.ต.อ.วันชัย ผกก.สภ.เมืองเพชรบุรี ร่วมกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี ได้รับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว และจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ส่วนความคืบหน้ากรณีนางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัย ผู้สมัครกลุ่ม 19 ของอำเภอเมืองเพชรบุรี แม้ว่ากกต.จะมีการรับรองเป็นสว.ไปแล้วก็ตาม ก็พบว่า มีการร้องเรียนในพื้นที่หลังมีการลงคะแนนระดับอำเภอ

        โดยผู้ร้องอ้างว่า พบมีการกระทำความผิด ตามมาตรา 77(4) ตามพรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว. พ.ศ.2561 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครอื่นเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิลงเลือกคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด (4) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด ซึ่งมีบทลงโทษ ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนดยี่สิบปี
          โดยผู้ร้องอ้างว่า ผู้ถูกร้อง เขียนข้อความลงในเอกสารแนะนำตัว (สว.3) อันเป็นเท็จ ระบุว่า ข้อ 2 ประวัติการศึกษา 2.1 ศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Reseource Development) California University 2.2 ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science} Califonia University, U.S.A.
2.3 แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน กรมสุขภาพจิต ( Preventive Medicine, Community Mental Health) 3. ประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัคร (ไม่เกิน 5 บรรทัด)

– ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย
– แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม
– ที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
– คณะทำงานติดตามการดำเนินการตามนโยบายด้านส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระทรวงแรงงาน
– กรรมการผู้จัดการ เกศกมล คลินิก , เกศกมล เด็นทัล คลินิก และ อินเตอร์ เดอร์มา แลบอราทอรี
          ซึ่งพบว่า ผู้ถูกร้องไม่ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจริง และใช้ตำแหน่งทางวิชาการ ศาสตราจารย์นำหน้าโดยไม่มีสิทธิ อีกทั้งยังมีผู้ร้องบางรายร้องว่า มีการระบุตำ แหน่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงาม เป็นเท็จอีกด้วย ซึ่งการร้องกรณีดังกล่าวถูกพิจารณารับไว้เป็นสำนวนการสืบสวนไต่สวนตามระเบียบการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งไว้แล้ว นอกเหนือจากคำร้องที่ส่วนกลางรับไว้ก่อนหน้าเช่นกัน

         โดยมีข้อมูลเชิงลึกพบว่า ผู้ถูกร้องได้แนะนำตัวเช้าไปในกลุ่มไลน์ของผู้สมัครกลุ่มต่างๆว่า ตนเอง มีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์และจบการศึกษาระดับปริญญาเอก เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครอื่นลงคะแนนให้ รวมทั้งในเฟสต์บุกของผู้ร้องเองก็ระบุอย่างเดียวกัน และในการลงคะแนนรอบประเทศที่เมืองทองธานี ก็ยังพบว่า มีผู้สมัครกลุ่มเดียวกันเตรียมดำเนินคดีว่า ตนเองหลงเชื่อว่า ผู้ร้องมีตำแหน่งดังกล่าวจริงทำให้ผิดหลงไปลงคะแนนให้ตามที่มีการแนะนำตัวเข้ามาทั้งในเอกสารสว.3 และโพสต์ในกลุ่มไลน์ต่างๆ
         โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ได้เชิญผู้ถูกร้องมาชี้แจงพร้อมทำหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องมาแสดง และส่งข้อมูลทั้งหมดไปยังส่วนกลางแล้ว ขณะนี้ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งอยู่ระหว่างรอคำยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานก.พ. ,กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)ตามลำดับ เมื่อได้ข้อมูลและหลักฐานที่ครบถ้วนแล้วก็จะสามารถวินิจฉัยได้ ซึ่งหากพบว่า เป็นการกระทำความผิดจริง ก็ต้องส่งสำนวนดังกล่าวไปยังศาลฏีกาให้พิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!