นครปฐม-“พระ สาม โบสถ์..!”ธรรมมะดีๆจาก”หลวงพี่น้ำฝน”
เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน สำนวนไทยอย่างหนึ่งมีอยู่ว่า “ชายสามโบสถ์” แปลตรง ๆ ก็คือคนที่บวชมาแล้วสามรอบ โบราณท่านมองว่าเป็นคนที่ไม่มั่นคง โลเล บวช ๆ สึก ๆ อยู่นั่นแหละ จึงเป็นคนที่ไม่ค่อยน่าคบหาเท่าไร ด้วยแต่ก่อนคนจะบวชนั้น ถ้าไม่ได้บวชเรียนตามประเพณีแล้วก็มักจะบวชเพื่อเอามรรคผล สละโลก ก็คือบวชตลอดชีวิต ถ้าบวช ๆ สึก ๆ โบราณเขาว่า ใจอาจจะยังไม่ได้ อยากบวชก็อยาก ฆราวาสก็อยากเป็น ก็บวช ๆ สึก ๆ จนพ่อแม่พี่น้องมึนงงกันไปหมด ว่ากลายเป็นชายสามโบสถ์ไปเสียแล้ว
แต่อาตมานั้นเคยเจอ “พระสามโบสถ์” ซึ่งอาตมาเคยเขียนเล่าไว้ในจุดไฟในใจคนเมื่อนานมาแล้ว หลายปีก่อน ว่าอาตมาได้พบกับพระรูปหนึ่งซึ่งอยู่มาแล้วสองวัด แต่ทุกวัดนั้นขับไล่ออกมาหมดเลย ไปวัดไหน เจ้าอาวาสก็ขับออกมา เพราะเป็นพระที่ขี้เกียจ ทำวัตรก็ไม่ทำ กวาดวัดก็ไม่เอา กิจสงฆ์ไม่ยุ่ง เป็นประเภทเช้าเอน เพลนอน ค่ำจำวัด จนกระทั่งมาถึงวัดไผ่ล้อม เป็นวัดที่สาม อาตมาก็รับพระรูปนี้เข้ามาแหลังว่าจะดัดนิสัยให้เป็นพระสงฆ์ที่ควรจะเป็นได้ อาตมาก็จ่ายงานให้พระรูปนี้ไปทำ ไปเป็นคนเช็กชื่อพระลงทำวัตร ให้มีหน้าที่ประจำ จะได้เกิดความรับผิดชอบขึ้นมา เกิดความตระหนักในหน้าที่ ทำเช่นนี้ทุกวัน ๆ สุดท้ายพระรูปนี้ก็ได้เรื่องขึ้นมา พอที่จะใช้การได้ อาตมาก็ดีใจเพราะถือว่าอาตมาได้สร้างพระขึ้นมาใหม่อีกรูป จากเดิมที่เป็นแค่พระเพราะมีผ้าเหลืองก็กลายเป็นพระที่มีความรับผิดชอบ เป็นพระที่มีสมณสารูป มีสมณสัญญา สามารถช่วยกิจการงานต่าง ๆ ของวัดได้
จนกระทั่งไม่นานนี้ พระรูปนี้เกิดผ้าเหลืองร้อนขึ้นมาเพราะต้องใจสีกา มีโอกาสได้พูดคุยประมาณ 1-2 เดือน ก็มีความคิดจะสึกออกไปอยู่กับผู้หญิง อาตมาเห็นแล้วก็เสียดายเพราะจริง ๆ เขาเป็นบุคลากรที่ดีของวัด เป็นหนึ่งในความภูมิใจของอาตมา แต่เมื่อผ้าเหลืองร้อนแล้ว ใครก็รู้ว่าอะไรก็ห้ามไม่ได้ ก็ต้องให้มันเป็นไปตามนั้น ขออย่างเดียวคืออย่าปาราชิกกลางผ้าเหลือง ไปละเมิดปฐมปาราชิกทั้งผ้าเหลือง อันนี้คือไม่ได้เลย จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่ได้ด้วย นับว่ามีมลทิน แต่ถ้ารู้ตัวว่าตนเองครองสมณเพศไม่ได้แล้ว ไม่อาจจะเดินบนเส้นทางนักบวชได้แล้ว ก็สึกสาลาเพศออกไป ถือว่ายังดีที่รู้ตัว ไม่เผลอพลาดเป็นสมีเสียก่อน
เพียงแต่อาตมาเสียดายว่า จริง ๆ พระรูปนี้บวชมาแล้วสิบกว่าพรรษา ถ้าออกไปแล้วจะหาอะไรกิน เพราะตัวก็ไม่ได้มีความรู้ในวิชาหากินอะไร เป็นพระมาค่อนชีวิต แล้วก็ติดสีกา พอต้องใจผ้าเหลืองร้อนแทบไหม้ก็ต้องสึก แต่จะทำอย่างไรต่อ อันนี้น่าห่วง และเป็นห่วง ที่ห่วงเพราะอาตมาเห็นมามากแล้ว คนที่บวชเป็นพระแล้วผ้าเหลืองร้อน สึกออกไปมีภรรยา ปรากฏว่าตัวก็ทำหากินไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ว่างเข้าไม่มีที่ยึดเหนี่ยวก็มีอบายมุขเป็นที่ยึดเหนี่ยวแทน กลายเป็นคนขี้เมา เป็นนักเลงหัวไม้ สิ้นสภาพไอ้ทิด เป็นทิดแต่ติดเหล้าก็มีถมไป เพราะขาดเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิต ไม่มีผ้าเหลืองมากำกับแล้ว และไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ในฐานะฆราวาส ต้องอยู่ในโลกที่อุดมไปด้วยกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด จะทำอย่างไร อาตมาก็หวังแต่ว่าเขาจะโชคดีในชีวิตใหม่
การเป็นพระสงฆ์นั้นไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่แค่การนั่ง ๆ นอน ๆ สวดมนต์ นั่งสมาธิ กวาดวัด ปฏิบัติธรรม แต่รวมถึงความคิดและจิตใจที่มีสมณสัญญา คือความระลึกได้ว่าตนเป็นพระ ทำอย่างไรจะไม่อาบัติ อาบัติอย่างหนึ่งนั้นเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ มีความหนักเบาต่างกันไป การจะอยู่เป็นพระได้โดยไม่อาบัติ ต้องมีสมณสัญญาตลอดเวลา การที่รู้ตัวว่าตนอยู่ในเพศสมณะมิได้แล้ว มิอาจห้ามใจต่อความรักได้ จะขอออกจากการเป็นนักบวช ก็นับว่าโอเค ดีกว่าเผลอลืมสมณสัญญาแล้วมีความรักความใคร่ ไปทำอะไรมิอะไรกลางผ้าเหลือง
แต่ใด ๆ ก็รู้สึกเสียดายบุคลากรของวัด และเสียดายชีวิตข้างหน้าของเขา เพราะชีวิตพระนั้นแม้ไม่มีสีสันมากมายแต่ก็เป็นหนทางที่สะดวกที่สุดสำหรับการไปสู่มรรคผล ก็นับว่าต้องออกจากเส้นทางนี้เสียก่อน จึงเสียดายด้วยประการฉะนี้ ขอเจริญพร