บิ๊กบอส”เมาไม่ขับ”หวังพึ่งสภา เสนอขอวันนอร์แก้กฎหมาย แบ่งค่าปรับจราจรให้คนแจ้ง
ภาพ-ข่าว:บ.ก.อรกัญญา หลิมสัมพันธ์
วันนี้ ( 24 ตุลาคม 2567 ที่รัฐสภา เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ ได้มอบหมายให้นายแพทย์แท้จริง
ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ พร้อมเหยื่อผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เข้ายื่นหนังสือต่อนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา โดยมีนายกมลศักดิ์ ลีมาเมาะ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทน
นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นผู้รับหนังสือ ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือที่ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับได้ยื่นต่อประธานรัฐสภา มีใจความสำคัญว่า สถานการณ์ความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยอยู่ในขั้นวิกฤตจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมบนท้องถนนที่คนไทยต้องเผชิญ โดยในแต่ละวันจะมีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเฉลี่ยวันละ 40 คน หรือคิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละประมาณ 5 แสนล้านบาท หากย้อนหลังไป 10 ปี ( 2556-2566 ) คนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 200,000 คน เท่ากับประชากรในจังหวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งสูญหายไปหมดทั้งจังหวัด สำคัญที่สุดคนที่เสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในการสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ ล่าสุดได้เกิดความสูญเสียของเด็กถึง 20 คน นับเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่ดีขึ้น ในลักษณะการกำกับควบคุมกันเองของคนในสังคมแตกต่างจากอดีตที่พึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นในการนำผู้กระทำผิดบนท้องถนนมาลงโทษ ขณะที่ปัจจุบันการบันทึกหลักฐานเชิงประจักษ์สามารถทำได้จากกล้องหน้ารถ กล้องจากโทรศัพท์มือถือ หรือกล้องซีซีทีวี ที่ปรากฏโดยทั่วไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนสามารถนำหลักฐานนั้นมาใช้ประกอบการดำเนินคดีผู้กระทำผิดบนท้องถนนได้เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอาศัยการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้กระทำผิดเสมอไป และบันทึกภาพหลักฐานได้แม้ไม่ได้เกิดซึ่งหน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ภาพเหตุการณ์ในโซเชียลมีเดียนำไปสู่การแสวงหาข้อเท็จจริงของคนในสังคมโดยไม่จำเป็นต้องรอกระบวนการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวทำให้หลายกรณีที่ผู้กระทำผิดยอมสารภาพต่อสังคม ซึ่งลดกระบวนการดำเนินการทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐได้
นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า มูลนิธิเมาไม่ขับทำงานสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายและการรณรงค์
ลดปัจจัยเสี่ยงทางถนนมา 29 ปี มูลนิธิเมาไม่ขับเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่การจัดการปัญหาความปลอดภัยบนท้องถนนต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันโลก โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ในการจัดการคนที่ขับขี่รถบนท้องถนนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่หนุนเสริมการจัดการปัญหานี้ มูลนิธิเมาไม่ขับเสนอผ่านประธานรัฐสภา ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้แก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อสามารถนำเงินส่วนแบ่งค่าปรับจราจรจากผู้กระทำผิดบนท้องถนนส่วนหนึ่งมอบให้กับประชาชนที่แจ้งเบาะแส เนื่องจากปัจจุบัน
รถบนท้องถนนมีกล้องหน้ารถ ผู้ใช้รถใช้ถนน มีโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายคลิปเหตุการณ์ได้ ตนเชื่อว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้มีการประกาศบังคับใช้
จะเป็นเครื่องมือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่และลดพฤติกรรมของผู้ขับขี่บนท้องถนนที่ไม่เคารพกฎจราจรได้เป็นอย่างมาก เพราะจะมีสายตาคนคอยจ้องจับผู้กระทำความผิดตลอด 24 ชั่วโมง สำคัญที่สุดโอกาสลอยนวลยากขึ้น แม้อาจรอดพ้นจากการลงโทษทางกฎหมาย แต่การลงโทษทางสังคมจะรุนแรงกดดันจนเจ้าหน้าที่ต้องไปดำเนินการจับกุมตัวมาลงโทษ รวมไปถึงการถูกสังคมประณาม อาจส่งผลเสียถึงหน้าที่การงาน เนื่องจากต้นสังกัด หน่วยงาน มองว่าสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์กรที่มีบุคลากรที่ไม่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยสาธารณอยู่ในองค์กร