นครปฐม-“หลวงพี่น้ำฝน”เผยไม่หนักใจ”พระปีนเสา”บุกกองปราบแจ้งเอาผิด
ภาพ-ข่าว:บ.ก.อริย์ธัช พรอัศวโยธิน
“ย้ำทำไปตามหน้าที่ของประธานพระวิยาธิการ ภาค 14 ส่วนเอกสารที่ได้รับมาเป็นหนังสือที่ได้จากสำนักพุทธ ไม่ได้เป็นผู้ส่งเอกสารเปล่าไปให้ลงนาม ย้ำพระปีนเสา ให้ข้อมูลเป็นเท็จมีทีมกฎหมายดำเนินคดี ย้ำทำโดยสายงานบังคับบัญชา ไม่เกี่ยวข้องทำงานเอาใจ กันจอมพลัง ขณะที่สำนักพุทธนครปฐมทำหนังสือชี้แจงพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายกรณีส่งต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาสุพรรณบุรีให้ทราบไว้แล้ว ขณะที่สังคมจับตาพระสังธาธิการเจ้าคณะปกครองจะลงดาบอย่างไรกับพระธีระ หลังย่องไปพบเจ้าอาวาสวัดสามชุกรับปากจะจำวัด แต่ช่วงสายได้บุกมาที่กองปราบปรามและมาแถลงข่าวอีกครั้ง”
วันที่ 5 พฤศจิกายน 67 จากกรณี พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตฺตธมฺโม (เสาวภาคย์โชติรส) พระปีนเสา เดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา โดยมีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนในการเดินทางมาแจ้งความเพื่อให้มีการดำเนินคดีกับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้องระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบในการเข้าตรวจค้นสำนักปฏิบัติธรรมพุทธยันตรี 2,600 ปี ในตำบลห้วยพลู อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา และการนำหนังสือจากเจ้าอาวาสวัดสามชุกเรื่องแจ้งให้กลับวัด ไปแจ้งที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยกรณีดังกล่าว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม ได้ให้ความเห็นว่า ได้ทราบเรื่องกรณีพระธีระ ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อแล้ว โดยไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใดเพราะทำไปตามหน้าที่ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้องระงับเหตุ และแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 หรือประธานคณะทำงานตำรวจพระภาค 14 ซึ่งอยากจะบอกว่าจะทำอะไรก็ระวังจะเข้าข้อกฏหมายอาญาไว้ด้วย
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่พระธีระ ไปแจ้งความโดยแถลงกับสื่อซึ่งระบุว่า กระดาษเอกสารเปล่าที่มีการให้เจ้าอาวาสวัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรีลงนามเรียกตัวกลับวัดภายใน 7 วัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาตมาเพราะเอกสารดังกล่าวอาตมาได้รับมาจากเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา ซึ่งอาตมาได้รับมาแล้วก็ได้สอบถามไปจึงได้การปรินซ์ออกมาแล้วถือไปแจ้งกับพระธีระ ส่วนการที่เดินทางไปยังช่อง 3 ซึ่งได้ถือเอกสารไปแจ้งนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่จะอ้างว่า ทำตามใจคฤหัสถ์ คือคุณกันจอมพลังก็ไม่จริงเพราะที่ทำไปก็ทำตามหน้าที่ที่ได้รับการแจ้งและร้องเรียนมาโดยได้แจ้งไปยังพระเดชพระคุณพระวชิรานุวัฒน์ เจ้าคณะภาค 14 ให้ท่านได้ทราบแล้ว ถึงการทำงานของอาตมา
ส่วนกรณีวันนี้ครบ 7 วันของหนังสือสั่งการจากเจ้าอาวาสวัดสามชุก หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องขึ้นกับคณะปกครองของจังหวัดสุพรรณบุรี ว่าทางท่านเจ้าอาวาสวัดสามชุก เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีท่านจะว่าอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ยุ่งยากอะไร คือเพียงมีการตั้งกรรมการสอบ ซึ่งผลการตัดสินก็อยู่ที่คณะกรรมการ และตรงนั้นอาตมาก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยกับการตัดสินของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก็อยู่ที่ท่านจะมองว่าพฤติกรรมเป็นอย่างไร
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวต่อว่า การทำงานของคณะภาค 14 ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม และจะมีการทำรายงานกันเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งทางเจ้าคณะภาค 14 ท่านเน้นมากเรื่องการประชุม ปัจจุบันก็จะประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อขอความเห็นหรือรายงานความคืบหน้าต่อพระสังฆาธิการเป็นลำดับชั้นและมีการสรุปการทำงานที่ชัดเจน “สำหรับการแถลงข่าวและเข้าแจ้งความกับอาตมา ก็สามารถทำได้แต่ตอนนี้คณะสงฆ์ภาค 14 ทำงานโดยมีฝ่ายกฎหมายที่จะคอยตรวจสอบการทำงานซึ่งถ้าพระธีระ มีการกระทำความผิดก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งจะมาทำกันมั่วๆไม่ได้ เช่นกันถ้าอาตมาทำผิดก็ถูกฟ้องร้องได้เช่นกัน” หลวงพี่น้ำฝนกล่าวปิดท้าย
ขณะที่ความคืบหน้าในส่วนการติดตามการตรวจสอบสำนักปฏิบัติธรรมพุทธยันตรี 2,600 ปี ในพื้นที่ตำบลห้วยพลู ซึ่ง นายธานี พิกุลทอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ได้มีการทำบันทึกข้อความแจ้งไปยังผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 67 ถึงพฤติกรรมตามข่าวของพระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา สังกัดวัดสามชุก ตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี โดยในเนื้อหาได้มีการระบุว่าในช่วงการตรวจค้นวันที่ 30 ตุลาคม 2567 เจ้าตัวได้มีการโวยวายและแสดงความไม่พอใจก่อนที่วันที่ 31 ตุลาคม 2567 พระธีระได้มีการเดินทางช่อง 3 และได้แถลงการณ์และยื่นหนังสือร้องเรียนเรียบร้อย ซึ่งได้มีการพิจารณาการร้องเรียนดังกล่าว มีถ้อยคำ เข้าข่ายพาดพิง หรือดูหมิ่นศาสนาอื่นเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกทางศาสนาซึ่งถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ในเนื้อหาได้มีการระบุว่าพระธีระ เคยมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 ก่อเหตุปีนเสาสัญญาณภายในสำนักปฎิบัติธรรมพุทธชยันตรี ถนนพุทธมณฑลสายสาม เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ เนื่องจากร้องเรียนไม่ให้สำนักสงฆ์ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ เนื่องจากที่ดินได้มีการจัดสร้างสถานปฏิบัติธรรมดังกล่าว เคยมีเอกชนมาก่อสร้างรีสอร์ทแล้วติดหนี้ธนาคารและเป็นที่รกร้าง กระทั่งปี พ.ศ. 2555 พระธีระ ได้มาสร้างเป็นสำนักสงฆ์และมีการนิมนต์พระ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อสายกัมพูชาวนเวียดนาม เข้ามาในสถานที่ กระทั่งธนาคารได้ไปพยายามให้ย้ายออกไป จึงได้มีการปีนเสาสัญญาณ จนชื่อว่าพระปีนเสานับแต่นั้นมา
2. วันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 จึงปีนเสาสัญญาณอีกครั้งในพื้นที่เดิม ซึ่งให้เหตุผลว่าจะขึ้นไปปฏิบัติธรรมด้านบน แต่มีการสอบถามรายละเอียดแล้วอ้างว่าประท้วงที่ธนาคารไม่ยอมทำสัญญาขายที่ดินให้ เพื่อดำเนินการก่อสร้างเป็นสถานปฎิบัติธรรมอีก ก่อนจะมีการบุกไปสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567
3. ปีพ.ศ. 2565 ในเขตพื้นที่อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เคยถูกเจ้าหน้าที่จับกุมฐานประพฤติตนไม่เหมาะสมโดยการขับรถยนต์ ไปบิณฑบาตและมีสีกานั่งอยู่ในสำนักปฏิบัติธรรม โดยในรถยังพบเครื่องแต่งกายคลพระ และได้มีการบันทึกตักเตือนถึงความไม่เหมาะสมแล้ว กระทั่งปี 2566 พื้นที่อำเภอนครชัยศรี ได้ถูกร้องเรียนเนื่องจากสงสัยว่ามีชาวต่างด้าวมาบวชในพื้นที่สำนักปฏิบัติธรรม
4. เคยถูกดำเนินคดีโดยศาลจังหวัดนครปฐม 2 คดี ได้แก่ พนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมเป็นโจทก์ พระครูปลัดธีระ จำเลย ข้อหาสืบพยานก่อนฟ้อง เมื่อปี 2562 และคดีที่พนักงานอัยการจังหวัด นครปฐม เป็นโจทย์ ยื่นฟ้องพระธีระ จำเลย ข้อหา พรบ. คนเข้าเมือง
กระทั่งวันนี้ได้มีการเดินทางไปยังกองปราบปรามเพื่อแจ้งความเอาผิดกับผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม โดยสังคมได้มีการจับกระแสถึงบทลงโทษและการดำเนินการต่อจากนี้ เนื่องจากมีข้อมูลสืบทราบมาว่าเมื่อวานนี้พระธีร ได้เดินทางไปยังวัดสามชุก ซึ่งทางเจ้าอาวาสได้สั่งการให้อยู่สังกัดและพักอยู่ที่วัดสามชุกไปก่อนโดยได้มีการรับปากที่จะอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ในช่วงสายวันรุ่งขึ้นก็ยังมีการขัดคำสั่งโดยการเดินทางมาที่กองปราบปรามก่อนเป็นข่าวดังที่ปรากฏในวันนี้ ซึ่งคงต้องจับตา ว่านับจากนี้คณะสงฆ์ชั้นปกครองของจังหวัดสุพรรณบุรีจะมีคำสั่งหรือการดำเนินการอย่างไรต่อไป