“ถาวร เสนเนียม” ร่อนแถลงการณ์ ตัดสินใจไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

“ถาวร เสนเนียม” ร่อนแถลงการณ์ ตัดสินใจไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

ภาพ-ข่าว:นายหัวไทร

            นายถาวร เสนเนียม แถลงการณ์เรียนพี่น้องประชาชนที่สนใจติดตามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาและสื่อมวลชนทุกท่านครับ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากหลายสื่อหลายกระแสด้วยกันว่า ผมกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทยและได้รับแรงเชียร์จากน้องๆ ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลารอบหน้า ที่ก าลังจะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้น ผมเองก็ได้รับโทรศัพท์และได้รับการติดต่อเพื่อขอเป็นรับแรงสนับสนุนจากน้องๆ ที่ยังดำรงตำแหน่ง ส.อบจ.สงขลา และที่จะ
เป็นผู้สมัคร ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสังกัดทีมรวมพลังร่วมสร้างสุขที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้แล้ว

          รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งของผมและจากหลายๆ เขต ตลอดถึงญาติมิตร พี่น้องเพื่อนฝูง เมื่อได้ทราบถึงกระแสข่าวต่างติดต่อเข้ามาเพื่อให้ก าลังใจผม ประหนึ่งเสมือนผมได้ตอบตกลงที่จะเป็นผู้สมัครลงชิงต าแหน่ง นายก อบจ.สงขลา รอบหน้าจริงแล้ว การตอบค าถามถึงกระแสข่าวข้างต้น ผมจึงต้องระมัดระวังถึงความรู้สึกดีๆ ที่ทุกคนมอบให้ เพราะพี่น้องประชาชนในจังหวัดสงขลาต่างทราบดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ

           ประชาชนต่างคาดหวังที่จะมีผู้นำท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริตมาบริหารพัฒนาแก้ปัญหา คิดและทำเพื่อประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยอิทธิพลหรือทุนสีเทา

          ดังนั้นในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ประชาชนชาวสงขลาจึงต้องการที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบที่ใสสะอาด ปราศจากการซื้อสิทธิขายเสียง และปราศจากการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาเอารัดเอาเปรียบผู้สมัครที่สุจริต ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริต และต่อต้านการเลือกตั้งที่มีการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาตลอด และเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ในการตอบคำถามของผมจากกระแสข่าวข้างต้นไปบ้างแล้ว บางคนมองว่า ทำไมผมไม่เสียสละมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า

          ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงที่มาของการตัดสินใจเข้ามาลงสนามการเมืองดังนี้ 1.ในปี 2538 ผมมีอายุ 48 ปี และรับราชการเป็นอัยการจังหวัดกระบี่กับอัยการจังหวัดสงขลาต่อเนื่อง
มาหลายปี และประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพอัยการ เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปี ผมย่อมสามารถไต่ต้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ แต่ด้วยในปี 2534-2538 ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองหลายครั้ง สืบเนื่องจากปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบ

         ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเหล่านี้อย่างเหนื่อยยาก ผมเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2511 จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หวังได้เข้าไปต่อสู้ในสภาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ การลาออกจากราชการของผมครั้งนั้น ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมเข้าไปทำหน้าที่ ส.ส. และเลือกผมตลอดมา 7 สมัย โดยที่ผมไม่ต้องใช้อิทธิพลหรือใช้เงินซื้อเสียงเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผมเล่นการเมืองโดยวิถีสุจริตตลอดมาพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งย่อมทราบดี 2.ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ ายค้าน ผมได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อทุจริต 5 คน

          ทุกสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรคืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเหล่านี้ 1.นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น 2.นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น 3.นายวัน มู หะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น 4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น 5.พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
และผมเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดำเนินการเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรมเพื่อเอื้อ ประโยชน์ในการจัดการเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นข่าวที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

          3. ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมได้ทำหน้าที่ฝ่ ายบริหารพัฒนาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลมีผลงานตามที่ปรากฎ ผมได้ทำการกำกับบริหารจัดการดำเนินการหน่วยงานภายใต้ภารกิจทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมทุจริตแต่อย่างใด 4.ด้วยประวัติทางการเมืองโดยสังเขปของผมดังกล่าวมา ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดสงขลาและน้องๆ ส.อบจ.สงขลาจำนวนหนึ่ง อยากให้นายกอบจ.จังหวัดสงขลาคนต่อไป มาจากผู้มีประวัติทางการเมืองสุจริต มีประวัติการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า ผมได้รับแรงหนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.ครั้งหน้า เพราะที่ผ่านมาประชาชนชาวสงขลาและ ส.อบจ.สงขลา ทุกคน

          ทราบดีว่า นายก อบจ.สงขลา มีปัญหาถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นต่อเนื่องตลอดมา บางรายถึงขนาดขัดแย้งกันจนต้องมีการจ้างวานฆ่าฝ่ายผู้เห็นต่าง บางรายก็กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากกรณีทุจริตคอรัปชั่น บางรายก็กำลังต่อสู้คดีอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ 5.จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ผมจึงขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ประสงค์จะให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สงขลาในครั้งหน้า แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ด้วยความตั้งใจในทางการเมืองของผมที่ต้องการเห็นการเมืองใสสะอาดปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นนั้น หมายความรวมถึง การละเว้นการกระทำการที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการด้วย

           ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ช่วงวิกฤติทางการเมืองในปี2556-2557 ผมกับมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ ได้ออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงหรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่โกงชาติทำร้ายแผ่นดิน จนท้ายสุดผมต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปี และถูกขังไว้โดยหมายของศาลในระหว่างการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ผมต้องพ้นจากคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ้นจากสถานะความเป็น ส.ส. และพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผม 1 ปี และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาคำพิพากษาในศาลฎีกา
6.แม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 , มาตรา 50 และตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 35/1 ก็ตาม แต่ผมเห็นว่า หากผมเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาต่อไปแต่ถ้า ระหว่างการดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา

         หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ความเสียหายย่อมเกิดกับทางราชการเพราะต้องจัดการเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาใหม่อีกครั้ง สิ้นเปลืองงบประมาณของ อบจ.สงขลา ประมาณ เจ็ดสิบกว่าล้านบาท และทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาใช้สิทธิกันใหม่ ประกอบกับทีมทนายความที่รับผิดชอบว่าความให้ผม มีความเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่ศาลฎีกาจะพิพากษาว่า ผมกระทำผิดและอาจจะถูกลงโทษตามที่อัยการฟ้อง ผมจึงตัดสินใจไม่สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครับ

          7.ดังนั้น การตัดสินใจของผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้าตามที่มีกระแสข่าว จึงไม่ได้เกิดจากความไม่เสียสละ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้เกิดจากความกลัวหรือสมยอมให้กับการทุจริตคอรัปชั่นหรือทุนสีเทา ที่พี่น้องประชาชนหวาดระแวง แต่ผมมองถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผมปฏิบัติตนในแนวทางนี้มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมสังกัดพรรคไทยภักดี ผมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้แต่ผมมีหลักคิดเช่นเดียวกันว่าหากประชาชนให้ความไว้วางใจแล้ว ต่อมาผมต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุก ผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

           ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพ้นจาก
ตำแหน่งไปก็สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นแทน โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการ 8.ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ครั้งหน้า ผมหวังว่าประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะตื่นรู้ว่า ผู้สมัครรายใดตั้งใจจริงเพื่อพี่น้องประชาชนหรือ ผู้สมัครรายใดอาศัยอิทธิพลหรือทุนสีเทาในการเข้าสู่ตำแหน่ง สำหรับผมเองก็จะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติดี มีที่มาดี และมีความตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน และผมขอเสนอให้ผู้ที่กำลังจะสมัครนายก อบจ.สงขลาทุกคน ให้แข่งขันกันโดยสุจริตเที่ยงธรรมจัดทำนโยบายที่ดีมีประโยชน์มาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ และขอให้สู้กันในกติกาโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป ผมขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!