ราชบุรี – คืบหน้า นร.ตร. ติดเชื้อกว่า 200 นาย ขณะผู้ปกครองขอรับบุตรหลานไปรักษาเอง

ราชบุรี – คืบหน้า นร.ตร. ติดเชื้อกว่า 200 นาย ขณะผู้ปกครองขอรับบุตรหลานไปรักษาเอง

ภาพ/ข่าว:สุจินต์ นฤภัย

 คืบหน้า นร.ตร. ติดเชื้อกว่า 200 นาย ขณะผู้ปกครองขอรับบุตรหลานไปรักษาเอง

             จากกรณีศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 7 อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ได้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ นร.นายสิบตำรวจ ที่เข้ารับการฝึกอบรมติดเชื้อโควิด-19 กว่า 200 นาย จนต้องเปิดเป็นศูนย์ Cl ภายในกองร้อย และต้องกักนร.นายสิบตำรวจ รวมทั้งบุคลากรภายในศูนย์จำนวน 592 คน ทำให้ผู้ปกครองของนร.นายสิบตำรวจ เกิดความไม่เชื่อมั่นในมาตรการที่ตั้งเป็นศูนย์ Cl เนื่องจากพบนร.นายสิบตำรวจติดเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 22 พ.ย.64 ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 7 พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 พร้อม พล.ต.ต.อาทิชา เปาอินทร์ ผบช.ภ.7 ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า กรณีที่พบเชื้อในกลุ่มของนร.นายสิบตำรวจ ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 7 (ศฝร.ภ.7) ตั้งแต่วันที่ 18 – 22 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ทางศฝร.ภ.7 ได้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในนร.นายสิบตำรวจ ด้วยชุดตรวจ ATK จนพบติดเชื้อ 39 นาย เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังพบเชื้อวันที่ 19 – 20 พ.ย. ได้ประสานทาง สสจ.ราชบุรี และรพ.ปากท่อ เข้าดำเนินการตรวจ RT-PCR หาเชื้อ นร.นายสิบตำรวจ 561 นาย พบติดเชื้ออีก 179 นาย และบุคลากรของศูนย์ฝึก เป็นครูฝึกและตำรวจรักษาการณ์ แม่ครัว อีก 31 คน พบแม่ครัวติดเชื้อ 3 คน รวมติดเชื้อ 182 คน และมีผู้ป่วยติดเชื้อ 8 ราย เข้ารักษาตัวอยู่ที่ รพ.ปากท่อ ส่วนผู้ติดเชื้อที่เหลือรักษาตัวอยู่ภายใน ศฝร.ภ.7 และเมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ประชุมร่วมกับสสจ.ราชบุรี และผอ.รพ.ปากท่อ โดยกำหนดแนวทางและวางมาตรฐานการปฏิบัติ และคัดแยกนักเรียนที่เข้ารับการฝึกอบรม เป็นกลุ่มผู้ป่วยสีแดง สีเขียว และสีเหลือง เพื่อเข้ารับการรักษาตามระบบต่อไป              ล่าสุดวันนี้(23 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น. ได้มีตัวแทนผู้ปกครองของนร.นายสิบตำรวจกว่า 30 คน เดินทางมาที่ ศฝร.ภ.7 เพื่อยื่น 3 ข้อเสนอกับทาง ศฝร.ภ.7 1.ในกรณีนักเรียนนายสิบพบว่าติดเชื้อ ขอให้เร่งแจ้งผู้ปกครองโดยด่วน และให้นำตัวกลับไปรักษาตามภูมิลำเนาหรือตามความประสงค์ของนักเรียน และผู้ปกครอง, 2.ในกรณีที่นักเรียนนายสิบตำรวจไม่ติดเชื้อ ขอให้แยกนักเรียนกับตัวในสถานที่ ที่เหมาะสมที่ไม่ใช่อาคารโรงนอน เนื่องจากเป็นแหล่งเพาะเชื้อ และให้แยกนักเรียนดังกล่าว กักตัวในสถานที่ที่เหมาะสมเป็นระยะเวลา 14 วัน หลังจากนั้น ให้ใช้วิธีการตรวจหาเชื้ออีกครั้ง และส่งตัวกลับบ้านทันทีหลังครบกำหนดระยะเวลาแล้ว และ 3.ให้ดำเนินการปิดศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 7 ไพรสะเดาชั่วคราว รวมทั้งดำเนินการฉีดพ่นยาและทำความสะอาดบริเวณโดยรอบ โดยมี พล.ต.ต.ปรีดา อิ่มเจริญ ผบก.ศฝร.ภ.7 พร้อม นพ.ประเสริฐ ฉัตรวิชชานนท์ ผอ.รพ.ปากท่อ และสาธารณสุขอ.ปากท่อ เข้ารับฟังข้อเสนอและร่วมชี้แจงทำความเข้าใจ แก่บรรดาตัวแทนผู้ปกครองของนร.นายสิบตำรวจ ซึ่งชี้แจงว่า ในส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทางศฝร.ภ.7 ได้ดูแลนร.นายสิบตำรวจที่ติดเชื้อโดยไม่มีมาตรฐาน ปล่อยให้ผู้ติดเชื้อนอนอยู่ในเต๊นท์สนามข้างกองร้อย ไม่มีการแยกห้องน้ำ และแยกผู้ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเป็นสัดส่วน จนทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังขาดเครื่องอุปโภค และยาในการรักษาโรคนั้นไม่เป็นความจริง ในส่วนที่ให้ผู้กักตัวนอนบางส่วนนอนในเต็นท์สนามนั้น เพื่อต้องการลดความแออัดและเว้นระยะห่างจากผู้ติดเชื้อ ซึ่งเบื้องต้นนร.นายสิบตำรวจ และบุคลากรผ่านในศูนย์ฝึกทั้งหมด คือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งตั้งแต่มีการตรวจพบเชื้อในกลุ่มนร.นายสิบตำรวจ ทางศฝร.ภ.7 ได้มีการประชุมร่วมกับทาง สสจ.ราชบุรี และ ผอ.รพ.ปากท่อ เสนอให้จัดตั้งศูนย์ Cl ภายในศูนย์ฝึก จนล่าสุดวันนี้ ทางสสจ.ราชบุรี ได้เสนอให้ทางศูนย์ฝึก เป็นรพ.สนามชั่วคราว ซึ่งเมื่อถูกยกระดับเป็นรพ.สนามแล้ว จึงมีมาตรการดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งทาง รพ.ปากท่อ และทางสสอ.ปากท่อ ได้จัดเครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมแยกห้องน้ำ และผู้ติดเชื้อกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอย่างเป็นสัดส่วน             ส่วนที่ทางผู้ปกครองต้องการนำตัวบุตรหลานที่ติดเชื้อออกไปรักษาเอง และให้บุตรหลานที่ยังไม่พบเชื้อออกไปกักตัวนอกศูนย์ฝึกนั้น เบื้องต้นทางศูนย์ฝึกไม่มีอำนาจที่จะทำตามคำเรียกร้องของผู้ปกครอง เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย พรบ.โรคติดต่อ ในการห้ามเคลื่อนย้ายผู้ป่วย แต่จะนำเรื่องเรียกร้องของผู้ปกครองเสนอต่อ คณะกรรมการโรคติดต่อจ.ราชบุรี เพื่อหาแนวทางออกให้กับบรรดาผู้ปกครอง ส่วนที่ทางผู้ปกครองมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่อง มาตราฐานในการดูแลบุตรหลาน ทั้งเรื่องทางศฝร.ภ.7 ขาดแคลนเครื่องอุปโภค และยาในการรักษาโรคนั้น เป็นแค่ช่วงแรกในการตรวจพบเชื้อเท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบัน ทางศฝร.ภ.7 มีความพร้อมทุกอย่าง ซึ่งเบื้องต้น ณ ปัจจุบันวันที่ 23 พ.ย. มีนร.นายสิบตำรวจติดเชื้อรวม 199 นาย และแม่ครัว 3 คน รวมผู้ติดเชื้อ 202 คน เข้ารักษาตัวที่ รพ.ปากท่อ 9 คน ซึ่งจากการตรวจสอบผู้ติดเชื้อทั้งหมดรวมทั้งผู้ป่วยที่รักษาตัวที่ รพ.ปากท่อ ถือเป็นกลุ่มผู้ติดเชื้อสีเขียว มีอาการไม่รุนแรง และไม่พบผู้ติดเชื้อลงปอดแม้แต่รายเดียว มีเพียงแค่อาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกเท่านั้น ส่วนที่ผู้ปกครองสงสัยว่า ภายในศูนย์ติดเชื้อได้อย่างไรนั้น ขณะนี้กำลังเร่งตรวจสอบหาข้อแท้จริงอยู่ ซึ่งขณะนี้ทางศฝร.ภ.7 ได้ตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา 2 กลุ่ม คือกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อ และกลุ่มผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองติดตามสถานการณ์บุตรหลานอย่างใกล้ชิด นพ.ประเสริฐ ฉัตรวิชชานนท์ ผอ.รพ.ปากท่อ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 202 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยสีเขียวทั้งหมด มีอาการไม่รุนแรง ส่วนที่แอดมิทรพ.ปากท่อ 9 ราย จะมีอาการไข้ หายใจแน่นหน้าอก ซึ่งจาการตรวจค่าออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ดีทุกราย ซึ่งทุกคนภายในศูนย์ฝึกผ่านการฉีดวัคซีนเข็ม 1 และ 2 มาแล้ว ส่วนเข็ม 3 นั้นเป็นบางราย ซึ่งถึงแม้จะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เป็นไปตามกระบวนการของโรคนี้ ส่วนสาเหตุว่าเชื้อเข้ามาที่ศูนย์ฝึกได้อย่างไร ใครเป็นคนนำเชื้อมา ทุกอย่างอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค กรณีที่ผู้ปกครองต้องการจะนำบุตรหลานกลับไปดูแลเอง คงต้องมีการประเมินก่อน เพราะจะมีความเสี่ยงมาก ถ้ามีการแพร่กระจายเชื้อออกไปตามภูมิลำเนาต่างๆ ซึ่งทางสสอ.ปากท่อมั่นใจว่า สามารถดูแลบุตรหลานของท่านได้ จึงอยากให้มีความสบายใจ เพราะทางเรามีผู้ประสานงานไว้ติดต่อกับทางผู้ปกครอง ในส่วนของการให้ยารักษาในนร.นายสิบตำรวจ ทางรพ.ปากท่อ ได้เตรียมนำยาฟาวิพิราเวียร์ไว้แล้ว หากพบผู้ป่วยมีอาการสีเหลือง แต่ถ้าเกิดมีอาการสีแดง หรืออาการหนักรุนแรงจะรีบนำส่งรพ.ปากท่อทันที แต่ปัจจุบันผู้ป่วยทุกคนยังอยู่ในกลุ่มสีเขียวทั้งหมด ขณะเดียวกันตัวแทนผู้ปกครอง ได้เปิดใจกับทางทีมข่าวว่า วันนี้อยากจะมาเรียกร้องและขอความชัดเจนจากศูนย์ฝึก ว่าบุตรหลานของตนจะได้รับการดูและและปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจากการที่ผู้ปกครองได้รับทราบข่าวจากทางเพจของศูนย์ฝึก ว่ามีนร.ในศูนย์ติดเชื้อโควิด ทางกลุ่มผู้ปกครองจึงรู้สึกไม่สบายใจ เนื่องจากไม่สามารถติดต่อบุตรหลานของตัวเองได้ จะมีก็แค่เพียงกลุ่มไลน์ของผู้ปกครองกันเอง ที่พูดคุยปรึกษากันเท่านั้น ทางผู้ปกครองอยากจะทราบว่า การจัดการเกี่ยวกับการคัดแยกโรคของศูนย์ฝึกมีมาตรฐานมากน้อยอย่างไร บุตรหลานมีความเป็นอยู่ และขั้นตอนการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งทางผู้ปกครองอยากจะรับตัวเด็กกลับไปกักตัวที่บ้านในกรณีที่ยังไม่พบการติดเชื้อ โดยทางผู้ปกครองมั่นใจว่ามีศักยภาพพอ            ซึ่งที่ผ่านมาทางผู้ปกครองจะต้องสืบข่าวเอง ไม่ได้รับรู้ข่าวสารโดยตรงจากทางศูนย์ฝึกเลย และที่เป็นกังวลมากที่สุดตอนนี้คือ คนที่ไม่ติดเชื้อแต่ยังอยู่ในศูนย์ฝึกที่เดียวกับคนติดเชื้อ อย่างนี้ไม่เรียกว่า รอวันติดเชื้อใช่หรือไม่ ทางผู้ปกครองจึงมาของร้องเรียนขอความกระจ่างและชัดเจนจาก ทางศูนย์ฝึก แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับความชัดเจน จึงจะร่วมตัวกันไปยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และศูนย์ดำรงธรรมจ.ราชบุรี เพื่อขอความชัดแจง และขอพาบุตรหลานไปรักษาเองที่ภูมิลำเนา ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง พญ.ปาจรีย์ อารีย์รบ นพ.สสจ.ราชบุรี โดยได้ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นได้รับเรื่องเรียกร้องของผู้ปกครองนร.นายสิบตำรวจ จากทาง ผบก.ศฝร.ภ.7แล้ว ที่ทางผู้ปกครองจะขอนำบุตรหลานที่ติดเชื้อไปรักษาเองที่ในรพ.ภูมิลำเนา และนำบุตรหลานที่ยังไม่พบเชื้อไปกักตัวดูอาการนอกศูนย์ฝึก ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจ.ราชบุรี ในช่วงเย็นของวันที่ 25 พ.ย. เพื่อหาแนวทางการแก้ไขทางออกร่วมกัน ก่อนจะออกมาชี้แจงให้ทางผู้ปกครองของนร.นายสิบตำรวจทราบต่อไป

 

 

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!