ชลบุรี-กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าแจง จับกุมคนร้ายขว้างระเบิดไปป์บอมบ์

ชลบุรี-กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าแจง จับกุมคนร้ายขว้างระเบิดไปป์บอมบ์

ภาพ/ข่าว:นิราช ทิพย์ศรี 

                 กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงเหตุคืบหน้า จับกุมคนร้ายขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ ใส่ฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21  จากกรณี เจ้าหน้าที่จับกุมคนร้ายขว้างระเบิดแสวงเครื่องใส่ฐานปฏิบัติการ หมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 บ.ปราลี ม.10 ต./อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ทำให้ฐานปฏิบัติการเสียหาย ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เมื่อ 26 เม.ย. 64

                ล่าสุด วันนี้ 2 ก.ค. 64 เวลา 13.00 น. พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. เปิดเผยว่า เมื่อ 1 ก.ค.64 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 พร้อมเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย และผู้นำท้องที่ทำการเชิญตัว นาย ซูกีฟลี ดือราฮิง อายุ 31 ปี ที่อยู่ 150 ม.5 ต./อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บุคคลต้องสงสัยเกี่ยวข้องเหตุขว้างระเบิดแสวงเครื่อง (ไปป์บอมบ์) ใส่ฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 เมื่อ 26 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา

               การปฏิบัติดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจาก พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ มทภ.4/ผอ.รมน.ภาค 4 ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าด้วยตนเองอย่างใกล้ชิด พร้อมสั่งการให้เร่งรัดตรวจพิสูจน์วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ เพื่อเชื่อมโยงและติดตามคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว ซึ่งจากการตรวจสอบวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ ประกอบด้วย เศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้างแบบไปป์บอมบ์ ที่กระจัดกระจายปะปนกับเศษชิ้นส่วนของเหล็กเส้นตัดสั้น และกระเดื่องนิรภัยตกอยู่ จำนวน 1 ชิ้น นำไปทำการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์และตรวจสารพันธุกรรม ตลอดจนหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่าผลจากการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม ที่ตรวจพบจากกระเดื่องนิรภัยที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ชัดเจนว่าเป็นของ นาย ซูกีฟลีฯ จนนำไปสู่การควบคุมตัวดังกล่าว

               ต่อมาได้นำตัว นาย ซูกีฟลีฯ มาดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ศูนย์ซักถามหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 (เขาตันหยง) บ้านค่าย หมู่ 2 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จว.น.ธ. โดยเจ้าตัวได้ให้การยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุขว้างระเบิดแสวงเครื่อง (ไปป์บอมบ์) ใส่ฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 เมื่อ 26 เม.ย. 64 ซึ่งก่อนวันเกิดเหตุ (25 เม.ย. 64) ได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ให้ไปพบกับกลุ่มของ นาย รอสฝัน มะดง ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บริเวณริมคลอง บ.ปราลี (บ้านย่อย บ.บาเละ) ม.10 ต./อ.รือเสาะ และเมื่อไปถึงจุดนัดพบ นาย รอสฝันฯ ได้สั่งการให้ นาย ซูกีฟลีฯ นำระเบิดไปขว้างใส่ฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 จากนั้นในวันเกิดเหตุ (26 เม.ย. 64) นาย ซูกีฟลีฯ ได้เดินทางออกจากบ้านไปยังจุดนัดพบบริเวณริมคลอง บ.ปราลี (บ้านย่อย บ.บาเละ) ม.10 ต./อ.รือเสาะ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมีกลุ่มของ นาย รอสฝันฯ เป็นคนจัดเตรียมเสื้อผ้าและจัดหาระเบิด พร้อมรถจักรยานยนต์ เพื่อขี่พา นาย ซูกีฟลีฯ ไปก่อเหตุดังกล่าว และหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปตามเส้นทาง บ.ปราลี จนมาถึงจุดนัดพบบริเวณริมคลอง บ.ปราลี ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง พร้อมแยกย้ายกันหลบหนี
               โดยในห้วงที่ผ่านมา นาย ซูกีฟลีฯ เคยถูกเชิญตัวมายังศูนย์ซักถามหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อ 5 มิ.ย. 64 แต่เจ้าตัวได้ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ และไม่มีส่วนรู้เห็นกับเหตุขว้างระเบิดใส่ฐานปฏิบัติการหมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 ซึ่งในระหว่างการถูกควบคุมตัว เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ ได้จัดเก็บสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อตรวจพิสูจน์ความเชื่อมโยงยืนยันตัวบุคคลกับเหตุการณ์ และได้ปล่อยตัวกลับภูมิลำเนาหลังควบคุมตัวครบ 7 วัน ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว มักจะพบว่าผู้ที่ถูกเชิญตัวมายังศูนย์ซักถามส่วนใหญ่จะให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรู้เห็นกับเหตุการณ์ และกลุ่มผู้ที่ก่อเหตุในพื้นที่แต่อย่างใด แต่ในภายหลังจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และสารพันธุกรรมที่ตรวจพิสูจน์ได้ จะสามารถยืนยันตัวบุคคลได้อย่างชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร แต่หน่วยเองมักจะถูกสื่อแนวร่วมและผู้เห็นต่าง กล่าวหาโจมตีบิดเบือนว่าเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำเกินกว่าเหตุอยู่เสมอ

                 ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนของกฎหมายด้วยความระมัดระวัง และบังคับใช้กฎหมายด้วยความเป็นธรรม บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่มีอยู่ ภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน และการมีส่วนร่วมและรับรู้ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้นำท้องที่ และผู้นำศาสนา พร้อมเปิดโอกาสให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปทำการตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็ยังคงเปิดโอกาสให้บุคคลที่เห็นต่างเข้ามาร่วมพูดคุย เพื่อแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธีอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงต้องขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้ช่วยกันเฝ้าระวังและเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทางหนึ่งด้วย หากพบเห็นสิ่งปกติหรือบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ สามารถแจ้งได้ที่เบอร์สายตรง แม่ทัพภาคที่ 4 โทร 061-173-2999 หรือสายด่วน 1341 และหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
TAGS
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!