ปทุมธานี-ปธ.เอสเอ็มอีร้องเปิดเผยงานวิจัยสนับสนุนฉีดวัคซีนสลับสยบข้อกังขา
ภาพ/ข่าว:อนันต์ วิจิตรประชา
ปธ.เอสเอ็มอีร้องเปิดเผยงานวิจัยสนับสนุนฉีดวัคซีนสลับสยบข้อกังขา
ตามที่ คกก.ด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ หนุนมติ คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ ฉีดวัคซีนสลับชนิด เข็ม 1 ซิโนแวค เข็ม 2 แอสตราเซเนกา ห่าง 3-4 สัปดาห์ ให้กับประชาชนโดยมีผลวิจัยไทยรองรับไปเมื่อวันที่ 14 กค. 64 นั้น
วันนี้ 15 กค. 64 นายธีรวงศ์ สรรค์พิพัฒน์ ปธ.เครือข่ายเอสเอ็มอีรุ่นใหม่ ได้ให้ร้องขอให้คกก.ด้านวิชาการฯ และคกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เปิดเผยผลการศีกษาวิจัยในประเทศ ทั้งประเภท ช่วงอายุ และจำนวนของกลุ่มตัวอย่าง ระเบียบวิธีวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และป้องกันการสับสน จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
เพราะทางองค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนว่าหากประชาชนเลือกวัคซีนที่ฉีดเข็มที่2, 3 ขึ้นไปด้วยตัวเองอาจเป็นอันตรายเพราะปราศจากข้อมูลรองรับ โดยองค์การอนามัยโรคไม่ได้กล่าวว่านโยบายฉีดผสมเป็นอันตราย และก็ไม่ได้กล่าวว่านโยบายฉีดผสมปลอดภัยเช่นกัน แต่ให้ยึดถือตามที่คกก.ด้านสาธารณสุขที่รับผิดชอบภายในประเทศเป็นผู้ให้ความเห็น ทั้งนี้ให้อ้างอิงตามหลักฐานหรืองานวิจัยที่มีในประเทศนั้น ซึ่งหมายความว่าคกก.ด้านวิชาการฯ และโรคติดต่อ ลงมติและให้ความเห็นสนับสนุนการฉีดผสมบนพื้นฐานงานวิจัยในประเทศ จึงควรเปิดเผยงานวิจัยดังกล่าวต่อสาธารณะโดยทันที เพื่อประโยชน์ของประชาชน และป้องกันการเข้าใจผิดต่อข้อกังขาของสังคมถึงเรื่องการทดลอง และการใช้วัคซีนว่าทำไมถึงต้องเป็น Sinovac ในเข็มแรก ทั้งๆที่มีผลการวิเคราะห์แสดงประสิทธิภาพของ Sinovac ภายหลังการฉีดครบจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 500 คน ที่ศูนย์วิจัยทางคลินิก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ร่วมกับห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี BIOTEC พบว่าฉีดวัคซีน Sinovac ครบ 2 เข็มภูมิลดลง 50% ทุก 40 วัน รวมถึงกรณีนักธุรกิจด้านอาหารรายใหญ่ยังตัดสินใจเลือก Sinopharm มากกว่า Sinovac ที่ตนเองอาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ทาง คกก.ด้านวิชาการตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ หนุนมติ คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ ควรแถลงผลงานวิจัยและพิจารณาฉีดผสมตามมติ จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างมากในวงกว้าง ซึ่งควรพิจารณาลงมติสนับสนุนการเปิดวัคซีนเสรี และใช้มาตรฐานองค์การอนามัยโลกแทนอย. ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้เชื่อว่าคกก.ฯ ได้ตัดสินบนพื้นฐานข้อมูลและให้ความสำคัญกับชีวิตประชาชนเสมือนครอบครัวเดียวกันซึ่งข้อเท็จจริงของงานวิจัยจะเป็นหลักฐานสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันข้อพิพาททางกระบวนการยุติธรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/