รักไม่เข็ด เจ็บจนจุก ธรรมะดีๆ จากหลวงพี่น้ำฝน
ภาพ/ข่าว:คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน
รักไม่เข็ด เจ็บจนจุก
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้อาตมามีโอกาสแวะเวียนเข้าไปยังเรือนจำบ่อยครั้ง ตามนโยบายของทางราชทัณฑ์ที่จะคืนคนดีสู่สังคม หนึ่งในกิจกรรมที่อาตมานำเข้าไปนำร่อง คือ โครงการฝึกสวดมนต์ ให้ผู้ต้องขังได้สวดมนต์ ทำสมาธิ ปฏิบัติจิตภาวนา ซึ่งอาตมาเห็นว่าการสวดมนต์นั้นสำคัญสำหรับผู้ต้องขัง เนื่องจากการสวดมนต์เป็นการบริหารจิตใจอย่างหนึ่ง เป็นการนำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าไปไว้ในจิตใจ เมื่อสวดมนต์ได้ดี จิตใจก็มีพลัง เข้มแข็ง มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ อาตมาก็สอนให้สวดบทธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระสูตรอันเป็นปฐมเทศนา เป็นพระสูตรที่สวดแล้วเชื่อได้ว่าเป็นสิริมงคลแก่ผู้สวดเป็นอย่างยิ่ง อาตมาก็น่าจะได้ติดตามผล และขยายผลต่อไป
เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า
คนเราไม่ชอบความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดทางร่างกาย และความเจ็บปวดทางจิตใจ เพราะมันเป็นทุกข์ ใครเล่าอยากจะทุกข์ใจ
แต่บางคน เจ็บจนจุกก็ยังอยากจะไปหาความเจ็บนั้น
อาตมามีโอกาสได้เทศนาโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ยังเป็นสาววัยรุ่นอยู่เลย อาตมาคิดว่าเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับทุกคน อาตมาเลยนำมาถ่ายทอดไว้ในจุดไฟในใจคนด้วย
คุณโยมมาด้วยอาการเจ็บจนจุก เจ็บเพราะคนรัก หักอกแล้วหักอกอีก ครั้งแรกก็โดนนอกใจ ไปมีคนอื่น เธอก็ตามไปเคลียร์ ทำท่าว่าจะดีขึ้น แต่ผ่านไปครั้งที่สอง ที่สามก็เป็นแบบนี้ เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์วนลูปก็ได้ เริ่มเหมือนเดิม จบก็เหมือนเดิมเป็นวงจรเช่นนี้
แบบนี้แหละ รักไม่เข็ด เจ็บจนจุก
ผ่านไปสามสี่รอบ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม จุกเต็มที แต่ก็ยังคงกลับไปหาเขา พ่อแม่ก็เตือนแล้วว่าอย่ากลับไปอีกเลย คนแบบนี้ เดินออกมาไม่ต้องหันหลังกลับไปดีกว่า แต่ตัวเองก็เสียเงินเสียทองไปมากกับผู้ชายคนนี้ เรียกได้ว่าเปย์เท่าไรก็ไม่ได้เขากลับมา
เจ็บจนจุกมาแล้ว อาตมาก็เลยบอกว่า กลับไปทำไมให้มันเจ็บตัวอีก พ่อแม่ก็เตือนก็บอกแล้ว
พ่อแม่นี่แหละ คนมีประสบการณ์ ควรจะรับฟังไว้ แม้ว่ามันจะไม่ถูกใจ
ธรรมดาคนที่มีความรัก มักตาบอด เพลงก็มีบอกเอาไว้ มันไหลไปตามอารมณ์ จนลืมเหตุผลและความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้น
การหันหลังให้กับการวิ่งตามความรัก เดินเข้าไปหาความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร การที่เราไม่มีใคร ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เราไม่มีคุณค่า ทุกคนล้วนมีคุณค่าในตนเองกันทั้งหมด
ในทัศนะทางพุทธศาสนา คนเรามารู้จักกัน มีความสัมพันธ์ต่อกันก็ด้วยอำนาจของกรรมที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็เลือกสร้างกรรมได้เช่นเดียวกัน กรรมของเราอาจทำให้เราพบเจอคนที่ไม่ดี พบเจอคนที่ทำให้เราเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เราต้องทุกข์ใจต่าง ๆ นานา
แต่ในเมื่อคนเราสามารถสร้างกรรมใหม่ได้ สามารถพิชิตกรรมได้ด้วยกำลังสติปัญญาของเราเอง เมื่อเรารู้ว่าเดินกลับเข้าไปมันเป็นทุกข์ ทำไมเรายังเดินกลับเข้าไปอีก? ไม่หันหลังกลับไปก็ไม่เจ็บ ไม่ปวดแล้ว จะไปหาความทุกข์ใจใส่ตัวอีกทำไม
คนเราอยู่คนเดียวอยู่ได้ การมีคู่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางอันสูงสุดของชีวิต ถึงไม่ใช่คนนี้ หากกรรมว่ามันจะมี มันก็มี ถ้ากรรมว่ามันไม่มี มันก็ไม่มี ไม่มีแล้วยังไง ไม่มีก็ไม่ตาย
อาตมาเห็นมาหลายคน เป็นผู้หญิงอยู่ไปโดยไม่มีใคร เขาก็อยู่ได้โดยที่ไม่ต้องวิ่งตามความรัก บางทีบอกว่าได้ทำในสิ่งที่รักแล้ว สบายใจ ไม่ต้องมีใครก็ได้ มันก็มี หรือคนที่หยุดตามความรัก จู่ ๆ ก็กลับมีคู่ มันก็มี ชีวิตคนเรามันออกได้หลายแบบ ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ แต่จะเป็นสูตรไหนก็ตาม เราก็ยังเป็นคนที่มีคุณค่า มีสติปัญญาพอที่จะไม่เดินไปหาความเจ็บปวดอีก
คนเราเลือกได้ ย้ำอีกทีว่าถ้ารู้ว่ามันหนัก มันเจ็บ ก็ไม่ต้องไปหามันอีก รู้ว่ามันคือขนมหวานเคลือบยาพิษก็ไม่ต้องไปกินมัน ไม่ใช่ว่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นของดีของวิเศษสีสันสวยงามรสน่าอร่อยก็จะกินให้ได้ ทั้งที่รู้ว่ากินแล้วมันเวียนหัวปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนจนต้องเลิกกิน
เกิดเป็นหญิง ใจต้องสู้ ผู้หญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแอ ไม่ใช่เพศที่จะอยู่โดยปราศจากผู้ชายไม่ได้ ถ้ามีคู่แล้วไม่ดี อย่าไปมี เรามีศักยภาพมากพอที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดคุณค่าได้ในชีวิต
ฉะนั้นอาตมาจึงขอเตือนใจทุกคนไว้ว่า อะไรที่ทำให้เจ็บ รู้ทั้งรู้ว่ามันทำให้เจ็บ ก็อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้ายิ่งยุ่งด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นของเรา มันยิ่งเจ็บ เหมือนจะมีเพลงว่าเอาไว้ กำก้อนหินในมือ ที่มันมีมุมเหลี่ยมมุมคม กำให้แรงจนสุดแรง หินมันเจ็บไหม หินมันไม่เจ็บหรอก มือเรานี่แหละเจ็บ
และวิธีการแก้เจ็บที่ดีที่สุดคืออะไรเล่า…ก็ปล่อยมือ ปล่อยก้อนหินทิ้งไปสิ!
รู้แล้วว่ามันเจ็บจะไปกำมันทำไม กรรมทำให้เราเจอหินก้อนนี้ แต่ตัวเราเองนี่แหละที่เป็นผู้เลือกว่าจะกำมันต่อหรือจะปล่อย