นครปฐม-“หลวงพี่น้ำฝน”เปิดโมเดลต้นแบบ”คลินิกดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดัน
นครปฐม-"หลวงพี่น้ำฝน"เปิดโมเดลต้นแบบ"คลินิกดูแลผู้ป่วยเบาหวานและความดัน
ภาพ-ข่าว:อริย์ธัช/คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน
ที่วัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ทำการเปิดคลินิกดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดัน แบบครบวงจร ซึ่งรับว่าเป็นโมเดลต้นแบบแห่งแรกของประเทศไทย ที่ทางวัดไผ่ล้อมได้ร่วมมือกับทางโรงพยาบาลนครปฐม จัดสร้างขึ้น โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้จัดสถานที่สร้างคลินิกดังกล่าวภายใต้การสนับสนุนทางการแพทย์จากโรงพยาบาลนครปฐม เพื่อเพิ่มพื้นที่ช่วยเหลือดูแลรักษาผู้ป่วยทั้งโรคเบาหวานและความดันให้มีความทั่วถึงและลดความแออัดภายในโรงพยาบาลฯในขณะที่ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยดังกล่าวในปริมาณสูงขึ้น
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน) กล่าวว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นข้อธรรมที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีสักกี่คนที่ได้ลาภอันประเสริฐนั้นตลอดชีวิต คิดว่าไม่มี เพราะว่าทุกคนก็ต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดา พระราชาถึงยาจก พระลูกวัดถึงพระพุทธองค์ ล้วนมีความเจ็บป่วยตามสภาพปกติของมนุษย์ และความเจ็บป่วยเป็นความทุกข์ทรมานของมนุษย์เหลือเกิน ต่อเมื่อโรคนั้นได้หายไปแล้ว จึงรู้สึกว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ความรู้สึกแบบนี้ ถ้าไม่ป่วยขึ้นมาก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นลาภ ลาภอันประเสริฐจริง ๆ เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นแล้วหายได้ในเวลาไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ ก็ทุกข์ใจแล้วขณะที่เป็น ที่ผ่านมาเป็นโควิดกัน แค่ครึ่งเดือนก็ทุกข์เต็มที แต่โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างก็เป็นโรคเรื้อรัง เรียกได้ว่าเป็นกันตลอดชีวิต เป็นกันยันตาย ต้องรักษาต่อเนื่อง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไต โรคมะเร็ง หรือโรคที่มีมาแต่กำเนิดต่าง ๆ โรคทางพันธุกรรม โรคพวกนี้ถ้าเป็นขึ้นมาจะมีโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สองทันที มีคุณหมอและพยาบาลเหมือนญาติสนิทและเพื่อนสนิท กินยาเหมือนกินข้าว และมีของแถมจากอาการปกติคืออาการแทรกซ้อนที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เบาหวานเป็นอีกโรคหนึ่งที่รบกวนชีวิตของผู้ป่วยมาก เพราะต้องจำกัดเรื่องอาหารการกิน กินตามใจปากไม่ได้นั่นก็ทุกข์ข้อหนึ่งแล้ว อีกข้อหนึ่งก็คือบรรดาอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ จะเป็นแผลก็ไม่ได้ เกิดแผลขึ้นมารักษาไม่ดี แผลเน่าแผลเปื่อย ลุกลามบานปลายถึงตัดขาเลยก็มี ไหนจะเรื่องชามือชาเท้า เหล่านี้รบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก อีกโรคก็คือความดัน โดยเฉพาะความดันโลหิตสูง โรคนี้แม้ไม่แสดงอาการตรง ๆ แต่ก็จะไปแสดงออกเป็นโรคอื่น ๆ อย่างโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดโป่งพอง หลอดเลือดตีบ หลอดเลือดอุดตันขึ้นได้ เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งโรค มีของแถมอีกหลายโรค
จากสถิติที่ผ่านมา พบว่า ประชากรร้อยละ 20 ของประเทศน่าจะมีปัญหาเรื่องเบาหวาน และความดัน ซึ่งนั่นหมายความว่าระบบสาธารณสุขของประเทศก็ต้องรับงานหนักขึ้นด้วย ก็จะสังเกตได้เลยว่าคนไปโรงพยาบาลกันมาก ต้องรอหมอทีละนาน ๆ รอเช้าได้ตรวจเที่ยงตรวจบ่าย คนแน่นขนัดแออัดยัดเยียดกันเต็มไปหมด อันนี้คือปัญหาที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องพบเป็นประจำทุกวัน ที่ผ่านมา โรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด เป็นโรงพยาบาลตติยภูมิ รองรับการรักษาที่ซับซ้อน จึงประสบปัญหายอดผู้ป่วยพุ่งสูงสถานที่รอง รับไม่เพียงพอ มีผู้เข้ามาใช้บริการวันละถึงสามพันคน ที่ผ่านมาวัดไผ่ล้อมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนครปฐมก็ได้เปิดพื้นที่วัดสำหรับรองรับผู้ป่วย ให้บริการผู้ป่วยในเบื้องต้น เช่น เจาะเลือด วัดความดัน สามารถช่วยแบ่งเบาภารกิจของโรงพยาบาลนครปฐมได้พอสมควรแก่กำลัง ล่าสุด อาตมาได้รับการประสานงานขอใช้สถานที่ภายในวัดไผ่ล้อมจากโรงพยาบาลนครปฐมเนื่องจากในพื้นที่ของโรงพยาบาลมีความแออัดและทำให้ประชาชนที่มารับการบริการไม่สะดวกในการรอรับบริการทางการแพทย์ ซึ่งอาตมาเห็นว่าการช่วยประชาชนและสนับสนุนการทำงานทางการการแพทย์เป็นงานหนึ่งที่เป็นนโยบายของวัดไผ่ล้อม ที่คณะสงฆ์จะมีหน้าที่ทางด้านสาธารณะสงเคราะห์ เป็นส่วนหนึ่งในสังคมด้วย
ดังนั้น อาตมาจึงได้ให้ความร่วมมือ เปิดคลินิกผู้ป่วยนอก โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลนครปฐม เป็นโครงการต้นแบบแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลนครปฐม และวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ให้บริการรักษาบำบัดผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงครบวงจร เป็นการยกระดับการดูแลประชาชนโดยบูรณาการระหว่างวัดและหน่วยงานรัฐ โดยเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 66 ที่วัดไผ่ล้อม แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 เดินทางเป็นประธานเปิดคลินิกผู้ป่วยนอก โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลนครปฐม ศูนย์วัดไผ่ล้อม ร่วมด้วยนายแพทย์วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม โดยนายแพทย์สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม เป็นผู้กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม นำโดยอาตมา และฝ่ายฆราวาสนำโดยนายสมชาติ สาลีพัฒนา รองประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล และคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐมและโรงพยาบาลนครปฐม เข้าร่วมในพิธีโดยพร้อมเพรียง ในพิธีเปิดดังกล่าว บุคลากรทางการแพทย์ได้ให้ความเห็นดังที่อาตมาจะได้ยกขึ้นมาให้ได้อ่านกัน ดังนี้
แพทย์หญิงอัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 5 ได้กล่าวว่า “การที่หลวงพี่น้ำฝนได้ให้ใช้สถานที่ในวัดไผ่ล้อมเพื่อจัดตั้งคลีนิคผู้ป่วยนอก ถือว่าเป็นโมเดลของการดำเนินการที่สมบูรณ์แบบมากเพราะเป็นศูนย์ที่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานและความดันที่สมบูรณ์แบบ โดยเป็นการบูรณาการระหว่างพระสงฆ์ที่เป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณและภาครัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบริการประชาชน และประชาชนสามารถมาที่เดียวได้รับการบริการทั้งการรักษาและดูแลสุขภาพ เป็นหนึ่งในแม่แบบที่จะต้องนำไปปรับใช้กับจังหวัดต่างๆ ต่อไป”
นายแพทย์สุรชัย โชคครรชิตไชย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม กล่าวว่า “ศูนย์วัดไผ่ล้อม จะสามารถมารับบริการได้ราว 300 คน โดยเป็นการบริการแบบครบวงจรทั้งการดูแลทางด้านดวงตา เท้าและมีการรักษาด้วยแพทย์แผนไทยอนาคตจะตรวจฟันด้วย อนาคตผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันที่มีอาการแทรกซ้อนก็จะสามารถมารับบริการได้ที่นี่ที่เดียวด้วย”
นายแพทย์วิโรจน์ รัตนอมรสกุล สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า “การจัดตั้งคลีนิคที่วัดไผ่ล้อมก็ถือว่าสถานที่เหมาะสมอากาศถ่ายเทได้ดีมีที่จอดรถสะดวกและหากประชาชนต้องเข้าไปรับบริการยังโรงพยาบาลจะทำให้ต้องไปรอคิวอย่างแออัดเป็นการเสี่ยงที่จะมีการติดเชื้อได้ง่าย และบริการได้เท่ากับที่โรงพยาบาลนครปฐมซึ่งเราก็ไม่คาดมาก่อนว่าจะมีคนไข้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว”
ก็ทำให้อาตมารู้สึกใจชื้นที่บุคลากรทางการแพทย์ และวัด สามารถประสานความร่วมมือกันได้ วัดมีศักยภาพช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลได้ และเชื่อได้แน่ว่าจะเป็นประ โยชน์แก่โรงพยาบาล ผู้ป่วย และสังคมโดยรวม และที่สำคัญที่สุด คือ การทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เพื่อความไม่มีโรค หรือเพื่อคลายทุกข์แก่คนทั้งปวง นอกจากนี้ อาตมาและศิษยานุศิษย์ยังได้มอบเครื่องถ่ายภาพจอประสาทตาแบบดิจิตอล ยี่ห้อ Nikon retinastation ให้กับโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม มูลค่า 1,200,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลนครปฐม สำหรับใช้ตรวจระบบประสาทตาให้กับผู้เข้ารับบริการ ที่คลินิกผู้ป่วยนอก โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลนครปฐม ศูนย์วัดไผ่ล้อม อาตมาก็พร้อมที่จะสนับสนุนทางด้านอื่นๆ เพื่อทำให้สังคมของเราเป็นสังคมแก่การเกื้อกูลกัน โดยมีศาสนาพุทธเป็นศูนย์กลาง เพื่อทำให้พุทธศาสนา และวัดวาอาราม ยังคงเป็นเสาหลักของสังคมไทย ดังเช่นที่เคยเป็นมาตั้งแต่โบราณกาล ขอเจริญพร