นครปฐม-“สังคมปิดปาก-ปิดจมูก”..ธรมมะจากหลวงพี่น้ำฝน
ภาพ/ข่าว:คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในเวลานี้เราก็อาจจะกล่าวได้ว่า ผู้คนในเมืองไทยเริ่มคลายกังวลกับมหันตภัยไวรัสโควิด-19 กันบ้างแล้ว เพราะอาตมาเริ่มสังเกตรอบตัว พบว่ารถราบนท้องถนนมีมากขึ้น ผู้คนเริ่มกล้าออกมาใช้ชีวิตภายนอกบ้านมากขึ้น แต่ก็อาจจะมีข้อกังวลใหม่ขึ้นมา คือปัญหาเศรษฐกิจซึ่งน่าจะหนักหนาสาหัสเอาการ เนื่องจากเป็นมหันตภัยระดับโลกที่ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายประสบเหมือน ๆ กันหมด อะไรที่เราเคยเห็นจากในภาพยนตร์ ก็ได้เห็นกันจนชินตา
แต่ถึงอย่างนั้น อาตมาก็ต้องเตือนทุกคนว่า อย่าการ์ดตก เพราะไวรัสมันพร้อมจะน็อกเราได้ตลอด อย่างกรณีประเทศสิงคโปร์ที่ตอนแรกเหมือนจะควบคุมได้แล้ว เร็วกว่าประเทศอื่นในแถวย่านบ้านเราด้วย แต่พอการ์ดตกนิดเดียวจำนวนผู้ติดเชื้อก็พุ่งพรวดพอกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งรั้งอันดับหนึ่งของจำนวนผู้ติดเชื้อในภูมิภาคอาเซียนเรา ฉะนั้นประมาทไม่ได้ แม้ต่อไปทางการจะคลายล็อกบางอย่างเพื่อให้พวกเราได้ใช้ชีวิตสะดวกขึ้นก็ตาม การล้างมือ การสวมหน้ากากในที่ชุมชน การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า กินร้อน ช้อนกู ต่างคนต่างอยู่ ห่างกูสองเมตร ยังคงต้องใช้อยู่ และสิ่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่เราต้องปฏิบัติไปตลอดอย่างน้อย 1-2 ปีจากนี้
จะว่าไปแล้ว การระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนไปได้อย่างมาก จากเดิมที่เราอาจจะไม่ได้ประชุม เรียนหนังสือ คุยงานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์จนเป็นปกติ เราก็ได้ทำกันจนเป็นปกติ จากที่เราอาจไปกินข้าวนอกบ้านอยู่เรื่อย ๆ ก็ต้องหันมาทำกับข้าวกินเอง หรือสั่งซื้อผ่านเครือข่ายผู้รับส่งสินค้า จนเป็นปกติ ผู้คนหากิจกรรมออนไลน์ทำกันเป็นปกติ เมื่อต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้าน ต้องมีกิจกรรมแก้เบื่อ เพราะออกไปไหนไม่ได้ อย่างไม่กี่สัปดาห์ก่อนก็พากันเป็นสามสาว เจน นุ่น โบว์ กันทั้งเมือง หรือแม้แต่วงการศาสนาเอง พระก็ต้องสวดมนต์ออนไลน์ ให้ญาติโยมร่วมบุญผ่านหน้าจอ พระเองก็นั่งสวดมนต์ห่างกันสองเมตร ศาสนาอื่นก็เช่นกัน ก็ต้องประกอบพิธีกรรมหน้ากล้อง ให้ศาสนิกชนร่วมกิจกรรมผ่านหน้าจอ นี่คือภาพที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในชั่วชีวิตเรา แต่เราก็ได้เห็น และสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดเลย คือ เรากำลังกลายเป็นสังคมปิดปาก-ปิดจมูก การสวมหน้ากากอนามันจะกลายเป็นเรื่องปกติของชาวโลก โดยเฉพาะในโลกตะวันตกซึ่งเดิมมีค่านิยมไม่สวมหน้ากากปิดปากปิดจมูก เพราะมองว่าคนสวมนั้นคือคนที่ป่วย ถ้าไม่ป่วยจะสวมทำไม
แต่ต่อจากนี้ คนทั้งโลกก็จะให้ความสำคัญกับหน้ากากมากขึ้น เพราะโรคนั้นมันมาทางอากาศ เช่นเดียวกับหวัด มันติดมากับสารคัดหลั่งในร่างกาย หากคนที่เป็นโรคจามออกมา สารคัดหลั่งที่ฟุ้งไปในอากาศ และมีเชื้อโรคติดอยู่ด้วย ก็จะฟุ้งออกไปได้ไกลเป็นเมตร หรือบางคนสูบบุหรี่ทั้งที่มีเชื้อ ควันลอยไปถึงไหน สารคัดหลั่งที่มีเชื้อก็ไปถึงตรงนั้น พอคนอื่นสูดอากาศที่เจือด้วยสารคัดหลั่งและเชื้อโรคเข้าไป มันก็เข้าสู่ร่างกายคนนั้น เขาก็กลายเป็นคนติดเชื้อไป การสวมหน้ากากจะป้องกันสารคัดหลั่งมิให้ฟุ้งออกไปไกล และป้องกันไม่ให้เราสูดสารคัดหลั่งนั้นเข้าไปตรง ๆ
การล้างมือก็เหมือนกัน การล้างมือจะกลายเป็นพฤติกรรมปกติของพวกเรา จริง ๆ แล้วพวกเราก็เรียนรู้กันมาโดยตลอดว่า ให้ล้างมืออยู่บ่อย ๆ ล้างด้วยเจลแอลกอฮอล์ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือการล้างมือด้วยสบู่ ซึ่งควรล้างตามขั้นตอน 40 วินาที หรือเท่ากับเวลาร้องเพลงช้างสองรอบ แต่ตอนนั้นก็คงไม่ได้ล้างกันจริงจังเท่ากับเวลานี้ และต่อจากนี้ไป ฉะนั้น การล้างมือจะเป็นสิ่งที่พวกเราต้องใส่ใจมากขึ้นให้เป็นปกติ มิใช่แค่ล้างมือฟอกสบู่ลวก ๆ อีกต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพฤติกรรมที่เราจะต้องทำให้ชิน ทำเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติต่อจากนี้ เช่น การไม่ไปจับอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะในที่สาธารณะ เช่น ราวบันได และไม่ขยี้ตา ไชจมูก แคะหูแคะขี้ฟัน โดยที่ไม่ได้ล้างมือก่อน สิ่งเหล่านี้เราจะต้องระลึกไว้ในใจตลอดเวลานับจากนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่สถานการณ์จะทุเลาเบาบางลง ตอนนี้หลายชาติก็ระดมกันผลิตวัคซีน ร่วมทั้งประเทศไทยเราซึ่งตอนนี้ก็จะเข้าร่วมโครงการวิจัยกับประเทศจีน พัฒนาวัคซีนสู้โรคโควิด อย่างที่อาตมาเคยเล่าว่า อีกประมาณหนึ่งปีโดยเร็วที่สุด วัคซีนจะใช้การได้ หลังผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ตามกระบวนการ เมื่อวัคซีนใช้ได้จริงแล้ว ผู้คนมีภูมิต้านทานแล้ว โรคไวรัสโควิดก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่อาจจะมีการติดเป็นระยะ ๆ ตามฤดูกาล แต่ไม่ได้สร้างความวายป่วงแก่โลกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉะนั้น ในระหว่างนี้ ย้ำอีกทีว่าการ์ดอย่าตก การ์ดอย่าตก อย่าประมาทเด็ดขาด มิฉะนั้นชะตาอาจจะขาดได้ ขอให้จำไว้ให้ดีทีเดียว
พูดถึงการปิดปาก ปิดจมูกแล้ว เราปิดปากปิดจมูกเพื่อป้องกันระวังเชื้อโรค แต่อาตมาอยากให้เราระวังปาก จมูก ตา หู ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้กิเลสครอบงำดวงใจด้วย อย่างนี้เรียกว่า อินทรียสังวร หมายถึงการสำรวมระวังในอินทรีย์ ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะโดยปกติแล้ว อินทรีย์ของคนเราต้องกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ไม่อาจเลี่ยงได้เลย พออินทรีย์ของเราไปเจอกับของพวกนั้น มันก็เกิดความรู้สึก เกิดการปรุงแต่งเป็นปกติ เกิดเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นเฉย ๆ แต่ถ้าเราไปยินดียินร้ายกับสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา เราไปเต้นตามจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมานั้น มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาในทันใด เช่น ตาเห็นคนที่เราไม่ชอบ เราโกรธ ถ้าเราไปยินดียินร้ายกับความโกรธที่เกิดขึ้น เอาล่ะ กิเลสครอบงำดวงใจเราแล้ว เราเต้นไปตามความโกรธ เราก็ไปด่า ไปตบตีเขา เราเต้นไปตามมันโดยที่เราไม่เห็นตัวเราที่เต้น ไอ้นี่แหละที่มันเป็นปัญหา ไอ้นี่แหละเชื้อโรค ต้องหาอะไรมาปิด เชื้อไวรัสเขาใช้หน้ากากอนามัยปิด แต่เชื้อกิเลสตัณหา จะเอาอะไรปิดดีล่ะ
สติ นี่แหละคือตัวปิด ถ้าเราสังวรในอินทรีย์ คือเรามีสติรู้เท่าทันตัวเรา ว่าเรารู้สึกอย่างไร มันเกิดอะไรขึ้นในจิตเรา แล้วเราไม่หลุดไปเต้นตามมัน ไม่ไปโกรธเกรี้ยว ไปหลงใหลได้ปลื้มตามมัน เห็นตามความจริงว่าไอ้สิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดแล้ว แล้วมันก็จะหายไป อย่างความรู้สึกโกรธนั้น เกิด อยู่ แล้วก็ดับไป นั่นแหละคือการปิด ถ้าไม่ปิดนั่นแหละมีปัญหา เราไปเต้นตามมัน เต้นไปเต้นมาสุดท้ายใครเหนื่อย…ก็โยมนั่นแหละเหนื่อย ขอเจริญพร