ราชบุรี-โผล่อีก 3 ราย เหยื่อจุดพลุระเบิดใส่เกือบพิการยกครอบครัว

ราชบุรี-โผล่อีก 3 ราย เหยื่อจุดพลุระเบิดใส่เกือบพิการยกครอบครัว

ภาพ/ข่าว:สุจินต์ นฤภัย(เต้)

โผล่อีก 3 ราย เหยื่อจุดพลุในงานระเบิดใส่ เกือบพิการยกครอบครัว เหยื่อเผยต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เด็กเสียโอกาสด้านการศึกษา ต้องหยุดเรียนมา 2 ปีแล้ว วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือค่ารักษาเดินทางไปผ่าตัด

          วันที่ 27 มิ.ย.63 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีครอบครัวหนึ่งที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการจุดพลุในงานพิธี เหตุเพราะจุดพลุขึ้นไปแล้วไม่ระเบิด แต่กลับตกลงมาระเบิดด้านล่างจนโดนคนบาดเจ็บเกือบพิการ เพราะการขาดความระมัดระวังของเจ้าของจัดงาน ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปที่ บ้านเลขที่ 515 / 7 หมู่ 3 ต.ดอนตะโก อ.เมือง จ.ราชบุรี เพื่อพบครอบครัวของ นางกรวรรณ เจริญสุข อายุ 56 ปี ผู้เป็นยาย, ด.ญ.หทัยชนก ฮะบุญมี อายุ 11 ปี หรือน้องเนย และ ด.ช.ศุกลวัฒน์ ฮะบุญมี อายุ 7 ปี หรือ น้องเนส ทั้ง 2 เป็นพี่น้องกัน และยังมีหลานอีกคนที่อยู่กันคนละที่ ชื่อ ด.ญ.ชลิดา เสาร์เกิด หรือน้องออมสิน อายุ 6 ปี ซึ่งได้มีการเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งหมดได้ถูกพลุตกใส่และระเบิดใส่ตามร่างกายได้รับบาดเจ็บจนเกือบพิการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 เม.ย.61 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน โดยทั้งหมดมีสภาพมีบาดแผลพุพองจนแห้งยึดติดหนัง บางคนนิ้วมือและนิ้วเท้าติดกัน บริเวณแขนและขามีร่องรอยของการรักษาและผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง แต่ร่างกายยังไม่หายเป็นปกติ
          ก่อนหน้านั้น นางกรวรรณ เจริญสุข อายุ 56 ปี ซึ่งมีศักดิ์เป็นยาย ได้พาลูกและหลานไปร่วมงานประจำปีศาลเจ้าแห่งหนึ่งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร และมีการจุดพลุเฉลิมฉลองในพิธี ขณะจุดพลุขึ้นไปพลุดันไม่ระเบิดและตกลงมาระเบิดด้านล่าง ตรงที่นางกรวรรณ และลูกหลานที่ยืนอยู่ ก่อนระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งงาน หลังสิ้นเสียงพลุระเบิดและกลุ่มควันไฟ พบนางกรวรรณ และลูกหลานอีก 3 คน ถูกไฟไหม้พุพองได้รับบาดเจ็บ เหลือเพียงลูกสาว 2 คน ที่ยืนอยู่ด้วยไม่ได้รับบาดเจ็บ ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันรีบนำนางกรววณ และหลานทั้ง 3 คน ส่งโรงพยาบาลบ้านแพ้วทันที จนส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลราชบุรี แต่เนื่องจากอาการของแต่ละคนค่อนข้างสาหัส ทำให้ทางโรงพยาบาลส่งตัวทั้งหมดไปรักษาและผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งมีการรักษาและผ่าตัดมาหลายครั้ง และต้องนอนพักรักษาตัวหลายวัน ทำให้ครอบครัวประสบปัญหาเรื่องค่าเดินทาง ซึ่งในแต่ละครั้งต้องใช้จ่ายเงินนับหมื่นบาท ขณะที่แพทย์โรงพยาบาลศิริราชนัดผ่าตัดอีกครั้ง แต่ไม่มีเงินค่าเดินทางและค่าใช้จ่าย จึงทำให้ยังไม่ได้ไป ทุกวันนี้ทั้งหมดอยู่ด้วยความลำบากทั้งเรื่องความเป็นอยู่ อาชีพ และการรักษาตัว ขณะที่ ด.ญ.หทัยชนก ฮะบุญมี อายุ 11 ปี หรือ น้องเนย ต้องหยุดเรียนหนังสือและไม่ได้เรียนมา 2 ปีแล้ว และหวังที่อยากจะกลับมาเรียนใหม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ น้องเนย เคยเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองราชบุรี อยู่ชั้น ป.3 จะขึ้น ป.4 พอหลังประสบอุบัติเหตุพลุระเบิดใส่ ทำให้ต้องหยุดเรียนไป ซึ่งน้องเนยได้รับบาดเจ็บบริเวณขาทั้งสองข้าง โดยเฉพาะขาข้างซ้าย จะมีนิ้วเท้าติดกัน ยืนนานไม่ได้ และเดินแทบไม่ได้ จึงทำให้ต้องหยุดเรียนมา 2 ปีแล้ว เนื่องจากไม่มีเงินเรียน เพราะเงินถูกใช้ไปกับค่ารักษาแทบหมดบ้าน น้องเนย พยายามช่วยเหลือตัวเองเพื่อจะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ และจะเก็บเงินเรียนหนังสือด้วยตัวเอง ด้วยการสั่งขนมกระปุกมาขายทางออนไลน์ แต่พอเริ่มทำครั้งแรกก็ถูกโกงซะแล้ว ส่วนด.ช.ศุกลวัฒน์ ฮะบุญมี อายุ 7 ปี หรือ น้องเนส ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาทั้งสองข้าง หมอผ่าตัดรักษาช่วงข้างหัวเข่าแต่ยังมีบาดแผลปูดขึ้นมาอีกเรื่อย ๆ และหยุดเรียนไป 1 ปี ต่อมาปีนี้ น้องเนส เริ่มมีอาการดีขึ้น ทางครอบครัวจึงคิดจะให้เรียนหนังสือต่อในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนวัดโชติทายการาม อ.ดำเนินสะดวก ที่กำลังจะเปิดภาคเรียนใหม่นี้ แต่ยังประสบปัญหาหลายอย่าง

          นางกรวรรณ เจริญสุข ผู้เป็นยาย เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ตอนนี้ลำบากมากมีเงินไม่พอใช้จ่าย ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ สงสารเพียงหลานอยากให้ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช เพราะแพทย์ที่โรงพยาบาลนัดผ่าตัดมาแล้วเป็นปี แต่ไม่มีเงินค่าเดินทางพาหลานไปรักษาต่อเนื่อง “หลานบ่นอยากเรียนหนังสือ เหมือนเพื่อนคนอื่น” แต่มีปัญหาเรื่องเงินค่าเทอม จึงต้องหยุดการเรียนมาแล้ว 2 ปี หลานพยายามหาขนมใส่กระปุกขายผ่านออนไลน์ช่วยทางบ้านอีกทาง แต่ด้วยสภาพร่างกายยังลำบากยืนตรง ๆ ไม่ได้มากนัก เดินแทบไม่ได้ สำหรับค่ารักษาค่าผ่าตัดรักษาจะใช้สิทธิ์บัตรทอง 30 บาท แต่จะมีปัญหาเรื่องค่าเดินทาง ค่าน้ำมันรถ ค่าอาหาร อีกทั้งหลานมีอายุเกินกำหนดไม่สามารถอยู่เฝ้าที่ห้องคนไข้ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องจ่ายค่าห้องพัก การเดินไปรักษาตัวในแต่ละครั้ง ใช้เงินและใช้เวลาหลายวัน อย่างคราวที่ผ่าตัดครั้งที่แล้ว ใช้เวลานานเกือบ 10 วัน แพทย์ใช้ผิวหนังของน้องเนย ที่บริเวณโคนขาไปแล้ว ไม่รู้คราวหน้าจะใช้หนังเทียมหรือไม่ในการผ่าตัด หากใช้หนังเทียมจะมีราคาแพงมาก และทางครอบครัวต้องออกค่ารักษา และค่ายาภายนอกรายการเอง ส่วนช่วงที่เกิดเรื่องอุบัติเหตุได้มีการฟ้องร้องศาล และศาลสั่งให้คู่กรณีชดใช้ได้เงินค่ารักษามาคนละ 50,000 บาท แต่ยังไม่พอกับการรักษาตัว เพราะคู่กรณีก็ลำบากไม่มีเงิน โชคดีที่ น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี เขต 1 พปชร. หลังทราบเรื่องจึงได้เดินทางมาเยี่ยม พร้อมให้การช่วยเหลือเบื้องต้น และมอบสิ่งของเป็นอาหารแห้ง ข้าวสาร และเงินสดจำนวนหนึ่ง

          ด้านนางสาวกุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี เขต 1 พปชร. กล่าวว่า ไม่อยากให้เด็กรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งทางสังคม เบื้องต้นจะประสานหน่วยงานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้ามาดูว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง และน้องเนยเคยเรียนอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองราชบุรี และยังมีค่าเทอมที่ค้างชำระอยู่ จะลองไปพูดคุยกับทางโรงเรียนว่าขอให้ยกยอดค่าเทอมนั้นให้ได้ไหม และจะหาที่เรียนให้ใหม่ในเขตเทศบาลเมือง เพราะน้องอยากเรียนหนังสือต่อ และน้องเนยเป็นเด็กดี ยังอยากช่วยเหลือทางบ้านด้วยการสั่งซื้อขนมทางออนไลน์มาขาย ครั้งแรกกลับถูกโกงเงิน จึงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้มาซ้ำเติมกันในสังคมอีก ส่วนการรักษาพยาบาลจะดูว่าพอมีหน่วยงานไหนบ้าง เช่น มูลนิธิ หรือ กระทรวงสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลใดพอมีช่องทางรักษาดูแลค่าใช้จ่ายน้องได้ ส่วนความตั้งใจหลักคือต้องการอยากให้น้องๆ ได้มีโอกาสเรียนหนังสือต่อ ขณะที่ น.ส.กุลวลี นพอมรบดี พูดจบเด็กได้เข้าสวมกอด ส.ส.ราชบุรี ด้วยความตื้นตันใจ และดีใจจนน้ำตาไหลอาบแก้ม ด้วยที่มีผู้ใหญ่ใจดีไม่ทอดทิ้ง และได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือครอบครัว ให้สภาพร่างกายได้รับการรักษากลับมาเหมือนกับคนทั่วไป และมีโอกาสทางการศึกษาใหม่อีกครั้ง
          สำหรับผู้ใจบุญอยากจะช่วยเหลือ สามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่ เบอร์โทรศัพท์โทร. 092- 698-1972 นางกุสิณี เจริญสุข แม่ของน้องเนย หรือสามารถโอนเงินช่วยเหลือได้ที่ บัญชี ด.ญ.หทัยชนก ฮะบุญมี ธนาคารออมสิน สาขาศรีสุริยวงศ์ บัญชีเลขที่ 020327973788

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!