เชียงใหม่-นำบทเรียนแก้ปัญหาหมอกควัน ไฟป่า สู่การรับมือในปีหน้า
ภาพ/ข่าว:ศูนย์ข่าวเฉพาะกิจจังหวัดเชียงใหม่
ขอบคุณข้อมูล:สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สั่งการทุกอำเภอนำบทเรียนการบริหารจัดการแก้ปัญหาหมอกควัน ไฟป่า เพื่อนำไปสู่การรับมือในปีหน้า ล่าสุดสถาณการณ์คลี่คลายแล้ว
นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการศูนย์บัญชาการคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ โดยได้มีการรายงานผลการปฏิบัติงานให้แก่กองบัญชาการกองบัญชาการควบคุมไฟป่าหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้าทางระบบเทเลคอนเฟอร์เรนซ์ ทั้งนี้สถานการณ์หมอกควันไฟป่าจังหวัดเชียงใหม่คลี่คลายแล้ว ไม่พบจุด Hot Spot แม้แต่จุดเดียวในทุกพื้นที่ เนื่องจากฝนตกลงมา และจะปิดศูนย์ฯในวันที่ 30 เมษายน 2563
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือรายงานสภาพอากาศภาคเหนือ มีฝนกระจายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้มลพิษหมอกควันลดลงอย่างมาก คาดหมายลักษณะอากาศระหว่าง 28 เมษายนถึง 4 พฤษภาคม 2563 ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและหลังจากนั้นอากาศจะร้อนขึ้น กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงเชียงใหม่ ได้ทำการปฏิบัติการบินทำฝนหลวงในพื้นที่ 6 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่และน่าน เกิดฝนตกบางแห่งและเข้าปฏิบัติการยับยั้งลูกเห็บในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
ผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยหมอกควันข้ามแดน เดิมจะจัดประชุมเดือนมิถุนายนนี้ แต่ต้องยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์โรค COVID-16 อย่างไรก็ตามระยะนี้ทั้งเมียนมาร์ ไทยและลาว พบจุด Hot Spot กว่า 100 จุด ไม่พบหมอกควันปกคลุม การแจ้งเตือนได้ลดระดับลงเหลือเป็นระดับกลาง และจะลดสู่ระดับปกติต่อไป โดยจะลดความเข้มข้นของมาตรการลง แต่จะขยายผลสู่การวิจัย เพื่อนำมาตรการไปสู่การปฏิบัติ เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมที่ปฏิบัติได้จริง ประสิทธิภาพของการลดหมอกควันและฝุ่นละออง และผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยได้เชิญนักวิจัยมายื่นข้อเสนอโครงการต่อไป ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้น ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดฝ่าฝืนประกาศจังหวัดเชียงใหม่ 1325 คดี ในจำนวนนี้ฝ่าฝืน พรบ.สาธารณสุข คดี ฝ่าฝืน พรบ.จราจร 92 คดี และฝ่าฝืน พรบ.ป่าไม้ 1204 คดี
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเป็นกรณีศึกษาว่าจุด Hot Spot กว่า 20,000 จุด ที่เกิดขึ้นในปี 2563 กว่าหมื่นจุดเกิดในเดือนมีนาคม ให้สำรวจว่าพื้นที่ไฟไหม้หย่อมใหญ่กี่หย่อม อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนหรือป่าอนุรักษ์ โดยให้ทำงานกับภาคประชาชน ประเมิน วิเคราะห์ หาวิธีป้องกันและลดจุด Hot Spot ในปีหน้า โดยหน่วยงานรัฐสนับสนุน และให้หาเทคโนโลยีบริหารจัดการเชื้อเพลิงนอกจากการเผา เช่น การทำปุ๋ยหมัก หรืออัดใบไม้ขาย โดยเฉพาะป่าเต็งรัง เนื่องจาก 1 ใน 3 ของพื้นที่ไฟไหม้เกิดในป่าเต็งรัง ทั้งในเขตป่าอนุรักษ์และอุทยานแห่งชาติ ทั้งนี้ให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ติดตามกรณีมีผู้พร้อมรับซื้อใบไม้กิโลกรัมละ 2 บาทจำนวนหมื่นตันต่อปี ซึ่งหากจำหน่ายได้ก็จะเป็นรายได้เข้าหมู่บ้านถึง 20 ล้านบาทและลดจำนวนเชื้อเพลิงลงด้วย นอกจากนี้ยังขอให้ทำงานอย่างต่อเนื่องกับประชาชน หามาตรการป้องปราม ไม่ให้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะ