ราชบุรี-สาวโวยถูกล่อซื้อหน้ากากอนามัยขายเกินราคา

ราชบุรี-สาวโวยถูกล่อซื้อหน้ากากอนามัยขายเกินราคา

ภาพ/ข่าว:สุจินต์ นฤภัย(เต้)

สาวโพสต์โวยถูกล่อซื้อหน้ากากอนามัยขายเกินราคา 

          จากกรณีผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ Ya Narinrat ได้ลงรูปและข้อความเชิงเตือนภัย สำหรับพ่อค้าแม่ค้า โดยข้อความดังกล่าวระบุบถึงความไม่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดราชบุรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมข้อความว่า บอกเล่าประสบการณ์ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐมองไม่เห็นหัวประชาชน ‼️ เนื่องจากวันนี้เราได้รับความเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะเจ้าหน้าที่รัฐได้นำกำลังมามากเกินความจำเป็น (รวม 20 คน) มาบุกค้น โดยไม่มีหมายศาลแต่อย่างใด แต่กลับอ้างเพียงว่า ได้ส่งสายมาทำการล่อซื้อหน้ากากอนามัยจากทางร้าน ซึ่งทางร้านมิได้จำหน่ายมานานแล้ว แต่วันนี้มีคน (สายสืบ) เข้ามาอ้อนวอน ร้องขอ แสดงถึงเจตจำนงค์แห่งความจำเป็นที่ต้องใช้หน้ากากอนามัย โดยเราปฏิเสธการจำหน่าย แต่บุคคลนั้นก็ยังอ้อนวอนไม่เลิกราพร้อมกับซื้อสินค้าอย่างอื่นด้วย โดยการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดมาตรา 26 พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 หรือไม่ ที่ว่าด้วยการล่อให้กระทำความผิด โดยที่จำเลยมิได้มีเจตนากระทำผิด ซึ่งครั้งนี้ ผู้ล่อซื้อกระทำการแสดงถึงความน่าสงสาร คะยั้นคะยอเพื่อให้ผู้ขายจำหน่ายให้ตน ทั้งที่ปฎิเสธไม่จำหน่ายแล้วตั้งแต่ต้น ประมาณ 5 นาทีผ่านไป เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดราชบุรี พร้อมกำลังตำรวจประมาณ 10 นาย ปลัดอำเภอวัดเพลงและฝ่ายปกครอง รวม 10 นาย นำกำลังเข้ามาตรวจค้น โดยไม่มีหมายศาลใดๆ และละเมิดสิทธิสตรีด้วยการให้เจ้าหน้าที่ผู้ชายค้นตัวแม่ดิฉัน ซึ่งเป็นเพศหญิง พร้อมกับใช้คำข่มขู่เชิงใช้อำนาจกับบุคคลในร้าน การกระทำดังกล่าว อาจผิดมาตรา 93 หรือไม่ ที่ว่าด้วย “ห้ามมิให้ทำการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้ค้นในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทำความผิด หรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด”แต่เจ้าหน้าที่ได้กระทำการค้นตัวบุคคลในร้านในที่สาธารณสถาน มีคนเข้าออกตลอดช่วงเวลาการตรวจค้น และ ณ เวลาดังกล่าว มีเฉพาะเด็กและผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย แต่กลับมีเจ้าหน้าที่เพศชายเป็นผู้ตรวจค้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวผิดหลักการตรวจค้นหรือไม่ ผลการตรวจค้นไม่พบหลักฐานการกระทำผิดใดๆ โดยเจ้าหน้าที่บังคับใหเซ็นต์ชื่อลงบันทึกที่มีข้อความเชิงลบกับทางเรา โดยที่เราไม่สามารถโต้แย้งใดๆได้ การกระทำดังกล่าวถึงแม้เจ้าหน้าที่จะอ้างว่าได้ปฏิบัติตามหน้าที่ แต่การพิจารณาตามความเหมาะสมถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่า อีกทั้งด้วยสถานการณ์วิกฤตที่เราต้องเผชิญ เจ้าหน้าที่ควรลงมาอำนวยความสะดวกกับประชาชน มิใช่บังคับจับกุมประชาชนที่ค้าขายสุจริต”
“ปล.การบอกเล่าครั้งนี้ เราไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้ใครมารับผิดชอบ เพราะทราบถึงขบวนการการป้องกันตัวของหน่วยงานราชการดี แต่เราต้องการบอกเล่าให้ประชาชนรู้ถึงพิษภัยจากหน่วยงานรัฐ ที่กำลังกระทำกับประชาชน โดยที่รัฐไม่พิจารณาตามเหตุอันสมควร ปล.2 ฝากถึงตำรวจล่อซื้อ คุณควรพิจารณาตามเหตุเฉพาะหน้า หากผู้ขายมิได้มีเจตนาขายตั้งแต่ต้น คุณไม่ควรคะยั้นคะยอให้ผู้ขายกระทำผิดตามเจตนาของตน การกระทำดังกล่าวอาจผิด “มาตรา 26 พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537” ที่ว่าด้วยการล่อให้กระทำความผิด โดยที่จำเลยมิได้มีเจตนากระทำผิด” ซึ่งภายหลังจากมีการโพสต์ข้อความดังกล่าว ทำให้คนในโลกออนไลน์ต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมาก
         ล่าสุดในวันนี้( 29 เม.ย.63) ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่าร้านดังกล่าวชื่อร้านแก้ว ตั้งอยู่เลขที่ 25/2 หมู่ 6 ต.วัดเพลง อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี จึงเดินทางเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง โดยได้พบกับ น.ส.นลินรัตน์ สิรโชติวัฒนกุล อายุ 30 ปี เจ้าของร้านแก้ว และเป็นเจ้าของเฟสบุ๊ก Ya Narinrat ที่ลงเรื่องราวดังกล่าว พร้อมนางมัลลิกา พ่วงศิริ อายุ 65 ปี(มารดาเจ้าของร้าน) และ น.ส.สุทธินี หงสะมัต อายุ 19 ปี(หลานเจ้าของร้าน) ซึ่งอยู่ในร้านวันที่กิดเหตุพร้อมลูกจ้าง โดย น.ส.สุทธินี เล่าว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ คือวันที่ 27 เม.ย. ตนอยู่ขายของภายในร้านกับ นางมัลลิกา(ป้า) 2 คน พร้อมลูกจ้างภายในร้านอีก 1 คน ส่วนน.ส.นลินรัตน์(น้า) ออกไปซื้อของเข้าร้าน จนช่วงเวลา 15.00 น. มีชายแต่ตัวเหมือนชาวสวนเข้ามาในร้านทำทีเข้ามาซื้อของ และถามหาซื้อหน้ากากอนามัยชนิดที่ทางการห้ามนำมาจำหน่าย ตนจึงปฏิเสธไปว่าไม่ได้ขาย เก็บไว้ใช้เอง ชายดังกล่าวก็ทำทีเลือกของภายในร้านต่อ จนนางมัลลิกา(ป้า) เดินออกมา ชายดังกล่าวก็พยายามบอกให้ป้าขายหน้ากากอนามัยให้เขา โดยอ้างว่า จะซื้อไปให้ลูกน้องใช้ ลูกน้องไม่มีใช้เลย จนป้ารู้สึกสงสารจึงให้หน้ากากอนามัยกับชายคนดังกล่าวไป โดยไม่ได้คิดเงิน แต่ชายคนดังกล่าวกับซื้อตะกร้า และยาฉีดยุง ป้าจึงคิดเงินเฉพาะค่าตะกร้ากับยาฉีดยุงเท่านั้น ส่วนหน้ากากอนามัย ไม่ได้คิดเพราะสงสารเลยให้เขาไป หลังจากที่ชายคนดังกล่าวเดินออกไปได้ประมาณ 15-20 นาที จึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดราชบุรี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รวบเกือบ 20 คน เข้ามาในร้านพร้อมกับล้วงเข้าไปกระเป๋าผ้าคาคเอวที่สำหรับใช้ไว้ใส่เงินขายของ โดยไม่มีเอกสารอะไรมาแสดงเลย เอาแต่เอกสารที่ถ่ายเบอร์แบงค์มาให้ดูเท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาคเอวป้านั้น เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ชาย จนป้าต้องรีบแกะกระเป๋าคาคเอวออกจากตัว ให้เจ้าหน้าที่คนนั้นไป เมื่อค้นแล้วไม่เจอก็รื้อค้นภายในลิ้นชักโต๊ะเพื่อหาแบงค์ห้าร้อยที่่เขาอ้างว่านำมาซื้อหน้ากากอนามัย แต่พอค้นไม่เจอเจ้าหน้าที่ก็มาค้นตัวตนเอง และลูกจ้างภายในร้าน แต่ก็ไม่พบแบงค์ห้าร้อยใบดังกล่าว ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ทั้งหมด มีลูกค้าอยู่ในร้านด้วย และได้อยู่คอยดูเหตุการณ์ด้วย พร้อมกับกล้องวงจรปิดภายในที่ติดตั้งไว้ 6 ตัว สามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้หมด

ด้านน.ส.นลินรัตน์ เจ้าของร้านแก้ว ก็บอกว่า ที่ตนรู้สึกไม่พอใจกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ชุดนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้ชาย ล้วงกระเป๋าคาคเอวใส่เงินของแม่ของตน ซึ่งกระเป๋าผ้านั้นอยู่ตรงด้านหน้าของสงวน ถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทั้งๆที่มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิง ที่แจ้งว่าเป็น เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด แต่กลับไม่เป็นคนค้นกลับให้ผู้ชายเป็นฝ่ายค้น และไม่เข้าใจว่า แจ้งว่ามาทำตามหน้าที่เพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดในการขายหน้ากากอนามัยเกินราคาและห้ามจำหน่าย แต่กับมีเจ้าหน้าที่มามากกว่า 10 คน เข้ามาตรวจค้นในร้าน โดยไม่มีหมายค้น ทำเหมือนกับร้านของตนค้ายาเสพติด ทำให้ร้านของตนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก และตั้งแต่ทางอำเภอมาแจ้งว่า ห้ามขายหน้ากากอนามัย ชนิดที่ทางการสั่งห้าม ร้านของตนก็ไม่ได้ขายมานานแล้วตั้งแต่มีการสั่งห้าม ซึ่งตนก็นำหน้ากากอนามัยชนิดผ้ามาขายแทน ส่วนหน้ากากอนามัยชนิดที่ห้ามจำหน่าย ตนเก็บไว้ใช้เองภายในครอบครัว ซึ่งมีอยู่ในร้านไม่ถึง 10 ชิ้น แต่ที่หนักสุดและตนรับไม่ได้คือ หลังจากที่ตนได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าที่มาซื้อของภายในร้านวันที่เกิดเหตุ ซึ่งลูกค้าคนดังกล่าวก็ไม่ยอมไปไหนยืนดูเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ส่วนตนก็รีบกลับมาที่ร้านเพราะเป็นห่วงแม่กับหลานสาว พอมาถึงร้านและถามเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาที่ร้านโดยยังไม่รู้เรื่องอะไร กับถูกเจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด ตะโกนใส่หน้าว่า “จะไม่จบใช่ไหม รู้อยู่แก่ใจว่าแม่คุณทำอะไร” แต่พอตนถามเรื่องราวจากแม่ และได้รับคำตอบว่า เขามาหลอกล่อซื้อ ซึ่งแม่ของตนก็ไม่ได้ขายหน้ากากอนามัยให้ไป แต่กับให้หน้ากากอนามัยไปแทน โดยไม่ได้คิดเงิน ทำให้ตนรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งตนยังได้ยินจากลูกค้าและหลานสาวบังเอิญไปได้ยินเจ้าห้าที่ชุดดังกล่าวพูดคุยกันว่า “เคยมาล่อซื้อ 4 ครั้งแล้ว แต่เขาไม่ขาย ครั้งนี้เก่งมากที่ล่อซื้อได้” ที่ตนเอาเรื่องราวดังกล่าวมาโพสต์นั้น ไม่ได้ต้องการอะไรจากหน่วยงานราชการ แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องเตือนร้านค้าที่ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต ให้ระวังการกระทำแบบนี้ และต้องการให้หน่วยงานราชการไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนไปทำแบบนี้กับร้านใครอีก
หลังจากนั้นทางผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดราชบุรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจาก นางจีรนันท์ บัวสำลี ผู้อำนวยการกลุ่มกำกับดูแล และพัฒนาเศรษกิจการค้า ได้เปิดเผยว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนและได้ขอข้อมูลจาก ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอวัดเพลง เมื่อวันที่ 9 เม.ย.63 ว่า ร้านเลขที่ 25/2 หมู่ 6 ต.วัดเพลง อ.วัดเพลง มีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยชนิดที่มีการคุมเข้มห้ามขายเกินราคา จำหน่ายหน้ากากอนามัยชิ้นละ 20 บาท ทางพาณิชย์จังหวัด จึงได้ไปตรวจสอบ จนทราบว่า ร้านค้าดังกล่าวมีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยชนิดที่มีการควบคุมราคา โดยไม่มาวางจำหน่ายหน้าร้าน แต่จะจำหน่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ที่คุ้นเคยกันเท่านั้น จึงได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี เข้าตรวจค้นร้านดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งพฤติกรรมของร้านนี้มีการแอบขาย ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องหาวิธีทำอย่างไรให้ทางร้านยอมขายสินค้าชนิดนี้ จึงได้นำแบงค์มาถ่ายเอกสารแล้วไปล่อซื้อ จนผู้ล่อซื้อสามารถซื้อมาได้ โดยทางร้านมีการนำมาบรรจุใส่ถุงพลาสติก 5 ชิ้น แล้วขาย 100 บาท เท่ากับชิ้นละ 20 บาท พอ ได้ของกลางมาแล้ว จึงได้แสดงตน เพื่อขอตรวจค้น โดยแจ้งว่าทางร้านมีการขายหน้ากากเกินราคา แต่ทางร้านปฏิเสธว่าไม่ได้ขาย แต่ตอนนั้นคนที่ล่อซื้อยังไม่ได้เข้ามา ทางร้านก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ขาย เจ้าหน้าที่ที่ไปด้วยกันจึงขออนุญาติตรวจค้นในตัวของป้า เพราะเจ้าหน้าที่ที่มาล่อซื้อบอกว่าเงินที่ป้าได้ไปอยู่ในกระเป๋าสะพายเก็บเงินจึงตรวจค้นตามมารยาท โดยไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวอะไรป้าเลย เพราะกระเป๋าอยู่ด้านนอกตัว แต่พอตรวจค้นในกระเป๋ากลับไม่พบ แต่พอไม่พบเขาก็ยิ่งเสียงแข็งใหญ่เลยว่า เขาไม่ผิดเขาไม่ได้ขาย พอเจ้าหน้าที่ที่ล่อซื้อเข้ามา เขาก็เริ่มที่จะเสียงอ่อน เพราะคนที่ล่อซื้อได้บอกพฤติกรรมทั้งหมดในการล่อซื้อ ตนจึงบอกป้าว่า ถ้าไม่ได้ขายขอดูกล้องวงจรปิดหน่อย แต่ป้าได้ตอบกลับมาว่า กล้องวงจรปิดเสีย จนลูกสาวของป้าเดินทางมาถึงที่ร้าน มาถึงก็มาต่อว่าเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจค้นอะไรกันไม่มีหมายค้น ตนจึงได้ชี้แจงให้ลูกสาวป้าเข้าใจว่า ถ้าไม่มีการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ก็จะไม่มีการมาตรวจสอบและไม่มีการมารังแกประชาชนหรอก แต่เนื่องจากมีการร้องเรียนมา จึงต้องมาปฏิบัติตามหน้าที่ สรุปในวันนั้นทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการดำเนินคดี แต่มีการลงบันทึกไว้ชัดเจนว่ามีการกระทำความผิด ในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา ซึ่งทางเขาก็มีการเซ็นต์รับทราบไว้ด้วย ซึ่งหน้ากากอนามัยที่ตรวจเจอในลิ้นชักโต๊ะมีเพียง 3 ชิ้น ซึ่งเขาก็อ้างว่าเขาเก็บไว้ใส่เอง ส่วนหน้ากากอนามัยที่ล่อซื้อไปไม่ใช่ของเขา ซึ่งตนอยากชี้แจงว่า ที่กล่าวว่าตนรื้อค้นทั้งร้านนั้นไม่ใช่ เพราะเจ้าหน้าที่ตรวจค้นยังไม่ถึง 2 เมตรเลย ทั้งๆที่สามารถตรวจค้นได้ทั้งร้าน แต่ก็ค้นแค่กระเป๋าสายพายเงิน ไม่ได้มีการไปโดนเนื้อตัวของป้าเลย ส่วนลิ้นชักโต๊ะก็ให้ทางป้าเปิดให้ไม่ได้ไปรื้อค้นเอง และที่บอกว่า ขนเจ้าหน้าที่ไปเกิน 20 คนนั้น ไม่เป็นความจริง มีตำรวจ 4 นาย และเจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด 2 คน รวม 6 คนเท่านั้น ไม่ใช่เกิน 20 คน ตามที่ทางร้านนำมาโพสต์ในโลกออนไลน์

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!