เพชรบุรี-มติศาลรธน. วินิจฉัยให้”ระวี รุ่งเรือง”พ้นตำแหน่ง ส.ว.

เพชรบุรี-มติศาลรธน. วินิจฉัยให้”ระวี รุ่งเรือง”พ้นตำแหน่ง ส.ว.

ภาพ/ข่าว:สุรพล   นาคนคร

                มติศาลรธน. วินิจฉัยให้ “ระวี รุ่งเรือง” พ้นตำแหน่ง ส.ว. เหตุเคยถูกลงโทษวินัยร้ายแรง มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 98 (8) กรณีเคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ ทุจริตต่อหน้าที่

               วันที่ 10 มิ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ “ระวี รุ่งเรือง” ประธานเครือข่ายชาวนาไทย พ้นจากสมาชิกภาพสมาชิกวุฒิสภา ด้วยเหตุกรณีที่เคยถูกลงโทษวินัยร้ายแรง และให้ไล่ออกจากราชการ ตามมาตรา 108 ข.ลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 98 (8) กรณีเคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ เหตุเพราะทุจริตต่อหน้าที่
ซึ่งสืบเนื่องจาก กกต.ได้มีคำวินิจฉัยให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาขอถูกร้องมีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 82 วรรคสื่
คำวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 150/2562 วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562  เรื่อง สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560  คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำร้องจากนายศรีสุวรรณ จรรยา ขอให้ตรวจสอบสมาชิกภาพของนายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้อง ว่าอาจขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นสมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 108 ข.ลักษณะต้องห้าม (1) ประกอบมาตรา 98 (8) อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง ตามมาตรา 111 (4) กล่าวคือผู้ถูกร้องเคยถูกสั่งให้พ้นจากราการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
คณะกรรการการเลือกตั้งได้พิจารณารายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตลอดจนพยานหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 108 ข.ลักษณะต้องห้าม (1) บัญญัติว่า สมาชิวุฒิสภาต้องคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งหามมาตรา 98 (8) กล่าวคือ ต้องเป็นผู้ไม่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ เมื่อข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกร้องได้รับสรรหาจากคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และได้รับคัดเลือกจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาตามบทกำหนดแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 269 และได้มีพะบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสกาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 โตยก่อนได้รับการสรรหาและแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ผู้ถูกร้องเคยถูกลงโทษทางวินัยไห้ไล่ออกจากราชการฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งกรมการปกครองที่ 689/2539 ลงวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2539 กรณีกระทำการเรียกรับเงินจากผู้สมัครสอบคัดเลือกเช้าเป็นสมาชิกกองอาสารักษาดินแตน อันเป็นพฤติกรรมในทางทุจริต ประกอบกับศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำพิพากษาตามคดีหมายเลขแดง ที่ อ.778/2558 วางหลักไว้ว่า การเรียกแสะรับเงินจากผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับราชการเพื่อเป็นค่าวิ่งเต้นให้ได้เข้ารับราฃการนั้น เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและความร้ายแรงแห่งกรณีอยู่ในระดับเดียวกับกรณีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการด้วยเหตุดังกล่าวผู้ถูกร้องจึงเป็นบุคลผู้มีลักษณะต้องห้ามเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 108 ข ลักษณะต้องห้าม (1) ประกอบมาตรา 98 (8) แม้ในเวลาต่อมาผู้ถูกร้องจะได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ.2539 และพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ.2550 ก็มีความหมายเพียงว่าผู้ถูกร้องไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยให้ไล่ออกจากราชการเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าความประพฤติหรือการกระทำของผู้ถูกร้องที่เป็นเหตุให้ถูกลงโทษทางวินัยถูกลบล้างไปด้วยแต่อย่างไค ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 694/2539 ที่ได้วางหลักไว้ในกรณีเช่นดังกล่าว จึงมีเหตุให้สมาชิภาพของสมาชิกวุฒิสภาของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 111 (4) ประกอบมาตรา 108 ข. ลักษณะต้องห้าม (1) และมาตรา 98 (8) จึงมีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาขอถูกร้องมีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 82 วรรคสื่
               และก่อนหน้านี้นายระวี รุ่งเรือง เคยถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ฐานมีลักษณะต้องห้ามแต่ยังสมัครรับเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 มีคำพิพากษา ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกรอการลงอาญา 2 ปีมาก่อนหน้านี้แล้ว
นอกจากกรณีดังกล่าว นายระวี รุ่งเรือง ยังเคยไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองขนาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เมื่อปี พ.ศ.2551 โดยได้กระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อผอ.การเลือกตั้งประจำอบต.หนองขนาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งความจริงแล้ว นายระวี รุ่งเรืองเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครการเลือกตั้ง กระทั่งได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งเรื่อยมา กระทั่ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ได้รับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบพบว่า นายระวี รุ่งเรืองมีลักษณะต้องห้ามจริง จึงเสนอเรื่องให้นายอำเภอเมืองเพชรบุรี ดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย และยังได้เสนอพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี เป็นความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ศาลพิพากษา จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 จำคุก 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี                          นายระวี รุ่งเรือง ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ.2559 พิพากษายืน

สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!