นครปฐม-“ในมืดย่อมมีสว่าง”ธรรมะดีๆจากหลวงพี่น้ำฝน
เรื่องโดย:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน)
เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในเวลาที่อาตมากำลังเขียนต้นฉบับนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ระลอกใหม่ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้คณะบุคลากรทางการแพทย์จะทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังต้องอาศัยแรงสำคัญคือความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในการป้องกันตนเอง เพื่อป้องกันผู้อื่น และป้องกันครอบครัว สังคม ประเทศชาติ จากการแพร่ระบาดของโรค เพราะถึงมีหมอ มีพยาบาลนับแสนนับล้าน ก็มิอาจต้านภัยโรคร้ายได้ หากประชาชนไม่จับมือกันไปด้วยกัน แม้วันนี้จะเริ่มเห็นแสงสว่างจากวัคซีน แต่วัคซีนนั้น “กันตาย ไม่ได้กันติด” ฉะนั้นการยกการ์ด ยังคงต้องทำอยู่ต่อไป จนกว่าจะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศ หรือระดับภูมิภาค นี่คือวาระแห่งชาติ และมนุษยชาติโดยทั่วกัน
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา สถานการณ์ในหลายพื้นที่นั้นมืดมิด ด้วยมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากยิ่งกว่าการระบาดระลอกก่อน ๆ ทำให้เกิดความตื่นตระหนกเป็นวงกว้างแก่คนในสังคม ถนนห้างร้านนั้นผู้คนดูเบาบางร่วงโรย การเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยรายวันที่อยู่ในหลักสองพันคนต่อวันอย่างต่อเนื่อง บางคนเสียชีวิตก่อนจะได้เข้าโรงพยาบาล เนื่องจากเชื้อในระลอกนี้มีอานุภาพร้ายแรง ติดง่าย ติดเร็ว และอาการรุนแรง ผู้ป่วยที่อาการหนัก ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมีจำนวนมาก และยังไม่มีแนวโน้มจะลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เหตุการณ์นี้ยังส่งผลต่อกิจการห้างร้านต่าง ๆ ที่ต้องปรับตัวตามมาตรการของภาครัฐ หรือมีจำนวนลูกค้าลดลง
ถึงจะเป็นสถานการณ์ที่ดูมืดมิด จนยังมองไม่เห็นแสงสว่างในระยะใกล้นี้ แต่ในความมืดก็ยังมีความสว่างอยู่ ทุกวันนี้เราตื่นเช้ามา เราเห็นข่าวสารทั้งทางทีวี หรือหน้าจอโทรศัพท์ บอกว่าติดเชื้อกี่คน ตายกี่คน เป็นภาพที่ดำมืดเหลือเกิน แต่ว่าอาตมาอยากให้โยมได้เห็นความสว่างที่แทรกอยู่ในความมืด ดังเวลาโยมหลับตาลง อาตมาก็ย่อมเห็นความสว่างอยู่บ้างหากตั้งใจมอง สถานการณ์วันนี้ก็เช่นกัน เพราะเมื่อเราเห็นความสว่าง เราอาจจะได้แรงบันดาลใจดี ๆ ในการฝ่าฟันความมืดดังนี้
ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ มาได้หลายยุคหลายสมัย จนอยู่รอดเป็นประเทศไทยได้จนถึงวันนี้ ก็ด้วยความสามัคคีร่วมใจของคนในชาติ ทุกระดับ ตั้งแต่องค์พระประมุขของชาติ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้นำ ส่วนราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ภาคเอกชนทั้งรายใหญ่จนถึงรายย่อย ประชาชนทุกสาขาอาชีพ วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่ประเทศไทยเคยผ่านมา เอาง่าย ๆ ที่พบกันบ่อย ๆ อย่างน้ำท่วม ประชาชนชาวไทยทุกคนพร้อมเป็นทั้งกองหน้าที่ทำงานเสริมแก่เจ้าหน้าที่ในการบรรเทาพิบัติภัย และเป็นกองหลังในการสมทบทุน สมทบข้าวของ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน โดยที่ไม่ต้องมีใครมาเชิญชวนหรือยังคับให้ทำ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และมาจากใจจริง ๆ จนเราทุกคนผ่านผองภัยไปได้
ในวิกฤตการณ์โควิดนี้ แม้ความช่วยเหลือจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านสุขอนามัย แต่ว่าผู้คนจำนวนมากยังยินดีจะช่วย ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาก็ดี ในนามองค์กรอาสาสมัครก็ดี หรือบริษัทห้างร้านก็ดี ต่างมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคในทางต่าง ๆ ตามที่จะช่วยได้ เราจึงเห็นผู้คนบริจาคเงิน บริจาคข้าวของต่าง ๆ ทำอาหารแจกคนในชุมชน แจกบุคลากรทางการแพทย์ บางคนทำตู้ปันสุข แจกของต่าง ๆ ตามที่ตนเองพอจะจัดหาได้ ให้ผู้คนมาหยิบไป นี่ก็คือความหลากหลายของความช่วยเหลือ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาผ่านไปได้เร็วที่สุด ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ เงินด่วน หรือข้าวของที่สามารถใช้ได้ทันที เป็นสิ่งจำเป็น
เมื่อกล่าวดังนี้ อาจจะมีคนคิดว่า ต้องเป็นคนที่มีเงินทอง หรือเวลามากพอ จึงจะทำงานช่วยชาติได้ อาตมากล่าวได้เลยว่า ไม่ต้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น การช่วยเหลือสังคมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองใด ๆ แต่เริ่มต้นได้เพียงการปฏิบัติตนที่ตนเอง เพียงสวมใส่หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ หรือแพร่เชื้อ ไม่ปกปิดไทม์ไลน์หากตรวจพบว่าติดเชื้อ แค่นี้ก็นับว่าช่วยชาติได้แล้ว ได้บุญ ได้อานิสงส์เหมือนกัน อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องน้อยหรือไม่มีอานิสงส์ใด ๆ
บางคนเสียสละเลือดเนื้อของตน ด้วยการบริจาคเลือด ที่ผ่านมาสภากาชาดไทย เปิดเผยว่าเลือดในคลังเลือดที่จะนำไปช่วยผู้ป่วยนั้นขาดทุกหมู่เลือด เมื่อผู้คนทราบข่าว ก็มีคนจำนวนมากแห่กันไปบริจาคโลหิตที่หน่วยรับของสภากาชาดไทยเป็นจำนวนมาก นี่ก็คือบุญใหญ่ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ทุนทรัพย์อะไรเลย แต่ก่อเกิดประโยชน์ให้แก่ชาติอย่างมากทีเดียว
วัดหลายวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ทำหน้าที่เป็นสถานที่สุดท้ายของผู้วายชนม์จากโรคโควิด ซึ่งมีมากขึ้นทุกวันและหาที่จัดการร่างได้ยากเช่นกัน อย่างวัดที่อาตมาปกครองอยู่ ก็เปิดให้นำร่างผู้เสียชีวิตมาฌาปนกิจฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ และรับรองความปลอดภัยตามหลักสุขอนามัย รวมทั้งมีญาติโยมหลายท่านสมทบทุนค่าน้ำมันเผาศพอีกด้วย
นี่คือภาพที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มืดมนยิ่ง เราจึงพบว่าในความมืดมนนี้ยังมีความสว่าง เป็นแง่งามในทุกข์ภัยที่ทำให้เราทุกคนเห็นว่า คนไทยไม่ทิ้งกัน คนไทยก็คือคนไทย มีน้ำใจ มีความสามัคคี แม้เรามักทะเลาะกันบ่อย ๆ แต่พอถึงเวลา ธาตุแท้ของความเป็นไทยก็หลั่งไหลออกมาผ่านความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ทำกันได้ตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย อาตมาจึงขอให้เราทุกคนได้จดจำภาพแง่งาม ภาพความสว่างในความมืดมนนี้ไว้เตือนใจเราว่า เราจงเป็นแสงสว่างแม้ในยามที่มืดมิดที่สุด จงเป็นแสงสว่างให้แก่ตนเองและคนรอบข้าง โลกของเราจะน่าอยู่มากขึ้น ขอเจริญพร