โทษแห่งการดูหมิ่นพระสุปฏิปันโน! ธรรมะดีๆ จากหลวงพี่น้ำฝน

โทษแห่งการดูหมิ่นพระสุปฏิปันโน! ธรรมะดีๆ จากหลวงพี่น้ำฝน

ภาพ/ข่าว:คัคเนศวร์ พรอัศวโยธิน

โทษแห่งการดูหมิ่นพระสุปฏิปันโน!

               เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน การใหญ่ของวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐมได้สำเร็จลงด้วยดี โดยในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้จัดพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ วิสาขบูชารำลึก และครอบเศียรท้าวเวสสุวรรณ ณ ศาลาหลวงพ่อพูล ซึ่งในงานวันดังกล่าวถือเป็นวันรวมศิษยานุศิษย์จากที่ต่าง ๆ มาชุมนุมกันเพื่อระลึกนึกถึงคุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด ตามปณิธานเจตนารมณ์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข ในครั้งนี้ กองทัพศิลปินดารา นำโดย คุณโยมนก บริพันธ์ ชัยภูมิ ได้มาร่วมพิธีอย่างคับคั่ง หลังจากที่ไม่ได้จัดพิธีเต็มรูปแบบมากว่า 2 ปี ในปีนี้ พิธีดำเนินไปตามแบบอย่างที่เป็นมา เข้มขลัง และศักดิ์สิทธิ์ หลังจากพิธีไหว้ครูเสร็จแล้ว อาตมาได้ครอบครูด้วยเศียรท้าวเวสสุวรรณ พญายักษาธิบดี จตุโลกบาล ประธานแห่งยักษ์และภูตผีปีศาจ ผู้ใดได้ครอบเศียรท้าวเวสสุวรรณแล้ว เชื่อว่าจะชำระเสนียดจังไรทั้งปวงให้เป็นอันสิ้นไป ก็มีศรัทธาสาธุชนจำนวนมากมารอร่วมพิธีแต่เช้า และเมื่อถึงเวลาก็ต่างมาต่อแถวรอครอบครูจนล้นออกไปจากห้องพิธี

             พิธีกรรมทั้งหมดนี้จัดขึ้นเบื้องหน้าสรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ซึ่งเป็นที่บูชาอย่างสูงสุด แม้สรีระสังขารจะเป็นเพียงร่างอันไร้ชีวิตจิตวิญญาณ แต่ก็เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของศิษยานุศิษย์แม้ตัวท่านจะลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว สรีระสังขารของพระเกจิอาจารย์จำนวนมากนั้นก็ได้รับการบูชา ประดิษฐานอย่างดีเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นที่ตั้งของการบูชาสักการะ มีอยู่ทั่วไปตามวัดต่าง ๆ เราเข้าไปยังวัดต่าง ๆ ที่ยังรักษาสรีระสังขารของพระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีมาทั้งชีวิตแห่งความเป็นบรรพชิต เราก็ไปกราบไปไหว้ กระทำการสักการะ ระลึกถึงพระสุปฏิปันโนองค์นั้น ผู้ที่เก็บรักษาสรีระสังขารไว้ก็มิได้เก็บไว้อย่างไม่รู้คุณค่า ก็ประดิษฐานไว้ในที่อันควร มีการบูชาสักการะสม่ำเสมอ อย่างสรีระสังขารของหลวงพ่อพูลนี้ สรีระท่านปรากฏเป็นอัศจรรย์ ไม่เสื่อมสภาพตามที่ควรจะเป็น อาตมาก็เชิญสรีระสังขารท่านมาเก็บรักษาไว้ในโลงแก้วให้เป็นที่ตั้งแห่งการบูชาสืบไป มาจนวันนี้ก็ประดิษฐานไว้ในศาลาโอ่โถงโอ่อ่า เป็นศาลาทอง สมเกียรติยศ บุญบารมี คุณความดีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กระทำมา

             เมื่อกล่าวถึงพระสุปฏิปันโนแล้ว อาตมาก็ควรจะต้องกล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นประเด็นใหญ่เมื่อไม่นานนี้ ที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งกระทำกิริยาอาการ ออกวาจาปรามาสพระเดชพระคุณหลวงพ่อผู้เป็นพระสุปฏิปันโน นับเนื่องในวงศ์พระอริยเจ้ารูปหนึ่งอย่างปราศจากความเคารพ อาตมาเห็นแล้วก็หวาดเสียวใจ เพราะนั่นเป็นกรรมใหญ่ กรรมหนัก การกระทำอันไม่เหมาะไม่ควรต่อพระสุปฏิปันโนเนี่ย ไม่ได้เลย

               พระสุปฏิปันโน เป็นอริยบุคคล คือผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วในทางธรรม มีจิตที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าปุถุชน โลภะ โทสะ โมหะ เบาบาง ถึงขั้นไม่มีเลย ไม่คิดร้าย ทำร้ายผู้ใด การไปมุ่งร้ายต่อบุคคลเหล่านั้น ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ การพูดร้ายทำร้าย คิดร้ายต่อบุคคลปุถุชนทั่วไปนั้นก็นับว่าเป็นความมืดมัวในใจอยู่แล้ว กับอริยบุคคลนั้นยิ่งกว่า เพราะอริยบุคคลย่อมไม่คิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายใคร

              ยิ่งกับพระภิกษุผู้ทรงศีล ถือพระปาติโมกข์ เป็นอริยบุคคล เป็นพระแท้ ยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่ คนมีศีล มีธรรม เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ขนลุกชูชันสยองพองเกล้าด้วยความหวาดกลัวในกรรมอันหนาหนักทั้งสิ้น หากเป็นบุคคลที่พึงตำหนิ แม้เป็นพระภิกษุครองเพศบรรพชิตที่ประพฤติทุศีลเป็นอาจิณ นั่นก็ไปอย่าง แต่ก็ต้องกระทำให้ถูกต้องสมควรแก่เหตุ แต่หากเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้ว ไม่มีเหตุอันใดที่จะให้ว่าร้าย คิดร้าย ทำร้ายได้เลย นั่นล่ะนรกจะกินหัว

             นรกขั้นต้นก็คือ ในใจของผู้ทำร้ายนั่นเอง เหมือนตกนรกทั้งเป็น คนที่ทำร้าย พูดร้าย คิดร้าย คนนั้นมีโทสะ โมหะเคลือบอยู่ในจิต มีแต่ปัจจัยฝ่ายอกุศล มีแต่ความลำพอง ความแข็งกระด้าง ของพวกนี้เป็นตัวขัดขวางมรรค ผล อย่างดี เป็นเครื่องกีดขวางความเจริญของบุคคล เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะเป็นอนุสัยตามส่งให้ภพภูมิต่อ ๆ ไปย่อมเป็นอบายภูมิโดยแน่แท้ ทีนี้แหละนรกขั้นต่อมา มาแน่นอน

             พระพุทธองค์เคยยกตัวอย่างอดีตชาติของพระองค์เอง ทรงแสดงไว้ในพุทธาปทานเรื่องปุพพกรรมปิโลติ เล่าเรื่องความไม่ดีของพระองค์ในชาติก่อน ๆ ที่ทำให้พระองค์ต้องเสวยผลกรรมมาจนถึงพระชาติสุดท้ายที่ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น พระองค์ทรงต้องทรมานพระกายเสียเจียนตายถึงหกปี เพราะครั้งเสวยพระชาติเป็นบุคคลนามว่าโชติปาละ เคยกล่าวตู่ ดูถูกอดีตพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเป็นการสบประมาท พระองค์ต้องเผชิญกับการกล่าวหาอย่างร้ายแรงของนางจิญจมานวิกา ด้วยเศษกรรมของพระองค์ครั้งเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ แล้วกล่าวตู่ คือ การกล่าวในสิ่งที่ไม่เป็นจริงแก่พระเถระในอดีตชาตินานโพ้นชื่อพระนันทะ จึงต้องตกนรกหมกไหม้กว่าหมื่นปี จนได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังไม่พ้นกรรมนี้ ต้องถูกนางจิญจมานวิกากล่าวหาอย่างร้ายแรงท่ามกลางที่ประชุมชน พระพุทธองค์ทรงเป็นโลกวิทูรู้แจ้งโลก เมื่อทรงได้พระญาณแล้วก็ทรงล่วงรู้กรรมของพระองค์ที่เคยทำมา และส่งผลมาถึงพระชาติสุดท้าย จึงทรงแสดงไว้เป็นอุทาหรณ์ จะเห็นได้ว่า กรรมแห่งการกล่าวตู่ผู้ทรงศีล ทรงมรรคผลโดยแท้ ให้ผลร้ายแรงถึงเพียงนี้ ควรที่เราจะต้องระวังให้จงดี ว่าอย่าได้กล่าวร้ายผู้ใด ทำร้ายผู้ใด โดยเฉพาะกับผู้เป็นอริยบุคคลผู้ไม่คิดร้าย ทำร้ายผู้ใดก่อน

              ที่กล่าวมานี้ก็คงจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจญาติโยมทั้งหลาย ให้ระวังกาย วาจา ใจของตนเอง เพื่อที่จะไม่ไปทำร้าย พูดร้าย คิดร้ายแก่ใคร เพราะการทำร้าย พูดร้าย คิดร้ายนั้น เป็นสิ่งที่ปิดกั้นสุคติ เป็นทางไปหาทุคติของตนอย่างแน่แท้ ขอเจริญพร

CATEGORIES
Share This

COMMENTS

error: Content is protected !!