“ภูมิใจไทย”เมืองคอนปรับเป้า โวกวาด 5 ส.ส.หลังกระแสเริ่มมาแรง “อารี” เดินสายถี่ยิบ
ภาพ-ข่าว:นายหัวไทร
“อารี ไกรนารา”นำทีมผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย เดินหน้าเต็มสูบพบปะประชาชนวันบะหลายจุด หลัง กก.บริหารพรรคตั้งเป้าหมายชนะเลือกตั้งเพิ่มเป็น 5 เขต ยืนยันคะแนนนิยมดีวันดีคืน
วันที่ 17 ม.ค. 66 ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านโคกเลา หมู่ 6 ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายอารีไกรนรา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หัวหน้าทีมเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมทีมงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ของนายณัฐกิตต์ หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร โซนชะอวด-จุฬาภรณ์ ร่วมกันจัดกิจกรรม “เหลียวหน้าแลหลัง พัฒนาบ้านเรา” เปิดตัวนายณัฐกิตติ์หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โซนนี้ของพรรคภูมิใจไทย จ.นครศรีธรรมราช มี โดยเชิญนายไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวอาวุโส จังหวัดนครศรีธรรม ราช ในฐานะที่เป็นคน ต.เคร็ง โดยกำเนิด มาร่วมปราศรัยทำความเข้าใจในกฎระเบียบการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นช่วงกลางปี 2566 มีประชาชนในพื้นที่หมู่ 6 ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช กว่า 200 คนเดินทางมาร่วมกิจกรรมและรับฟังการปราศรัยในแนวนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป ในขณะที่พื้นที่ อ.ชะอวด และ ต.เคร็ง ประกาศชัดเจนที่จะสร้าง ส.ส.ของคนพื้นที่เขตป่าพรุควนเคร็งด้วยกันเอง โดยการเลือกนายณัฐกิตต์ หนูรอด จากพรรคภูมิใจไทยที่เป็นคน ต.เคร็ง อ.ชะอวด โดยกำเนิด และในวันเดียวกันนี้ได้มีการเปิดเวที“เหลียวหน้าแลหลัง พัฒนาบ้านเรา” ในพื้นที่บ้านเสม็ดงาม หมู่ 8 ต.เคร็ง อ.ชะอวด อีกด้วยและมีประชาชนมาร่วมกิจกรรมกว่า 200 คนเช่นเดียวกัน
นายอารี ไกรนรา กล่าวว่า ตนได้ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อชาติและย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยได้รับความไว้วางใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยให้รับผิดชอบพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ทั้ง 9 เขตเลือกตั้ง และจากการที่ลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ทั้ง 9 เขตเลือกตั้งพบว่าว่าที่ผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีกระแสดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนายณัฐกิตติ์ หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร เขต อ.ชะอวด ,จุฬาภรณ์ และบางส่วน อ.ร่อนพิบูลย์
ล่าสุดพรรคภูมิใจไทยได้จัดประชุมว่าที่ผู้สมัครในภาคใต้ และสรุปว่าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง และบางจังหวัดมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะชนะยกจังหวัด สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคตั้งเป้าว่าจะชนะการเลือกตั้ง 3 เขต แต่หลังจากที่มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครและตนลงพบปะประชาชนทั่วจังหวัดต่อเนื่องกว่า 1 เดือน และทางพรรคได้ทำโพลสำรวจพบว่าโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งมากถึง 6-7 เขต ทางผู้หลักผู้ใหญ่และคณะกรรมการพรรคจึงปรับการตั้งเป้าหมายที่จะชนะการเลือกตั้งเป็น 5 เขตจาก 9 เขตเลือกตั้ง ทั้งนี้เพราะประชาชนเห็นว่าที่ผ่านมา 20-30 ปีผู้แทนราษฎรเดิม ๆ ไม่ได้แสดงออกถึงศักยภาพและบทบาทของ ส.ส.ในการนำการพัฒนาเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 จังหวัดที่มี ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทย เช่น กระบี่ สงขลา และพัทลุง ได้รับการดูแลและพัฒนาจนผิดหูผิดตาไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“ หลายจังหวัดในภาคใต้จึงอยากจะเลือกผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช แม้ว่าจะตั้งเป้าไว้สูงถึง 5 ที่นั่งทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยมี ส.ส.จากพรรคภูมิใจไทยมาก่อน แต่ตนมั่นใจมากที่สุดและคิดว่าในวัย 70 ปี ในทางการเมืองถือเป็นช่วงบั้นปลายแล้ว จึงขอทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนอย่างสุดความสามารถ ซึ่งในส่วนของนายณัฐกิตต์ หนูรอด และผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยในทุกเขตมีคะแนนดีขึ้นเรื่อย ๆ และจะชนะการเลือกตั้งในเขตนี้อย่างแน่นอน ส่วนเขตอื่น ๆ ก็มีความเป็นไปได้สูง
นายณัฐกิตต์ หนูรอด กล่าวว่า ตนเกิดในพื้นที่ ต.เคร็ง และมีบิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านหลังจากเรียนหนังสือและสอบเข้ารับการราชการได้ ตำแหน่งสุดท้ายคือปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง อีก 1 ปีก็จะเกษียณอายุราชการ แต่ตนได้ตัดสินใจลาออกจากราชการทิ้งเงินเดือน 1 ปีรวมกว่า 1 ล้านบาท เพื่อมาลงสมัคร ส.ส. นำความรู้ ความสามารถมาพัฒนาบ้านเกิดพรุควนเคร็งของตัวเอง ซึ่งหลังจากที่ประกาศเปิดตัวโดยไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด ๆ ตนได้ลงพื้นที่บอกกล่าวถึงความตั้งใจของตนกับคนป่าพรุควนเคร็งอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปีจนทางพรรคภูมิใจไทยเห็นถึงความตั้งใจจริงได้เปิดตัวให้ลงสมัคร ส.ส.เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ซึ่งพื้นที่เขต 4 (อ.ชะอวด ,จุฬาภรณ์ และบางส่วน อ.ร่อนพิบูลย์ ) 169 หมู่บ้านถือว่าอยู่ในเขตป่าพรุควนเคร็งทั้งหมด ตนจะลงพบปะเปิดเวทีย่อยในระดับหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน จึงมั่นใจว่าจะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในเขตเลือกตั้งอย่างแน่นอน
รายงานข่าวแจ้งว่า กระแสพรรคภูมิใจไทยค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆในจังหวัดนครศรีธรรมราช หลังได้ผู้สมัครครบ 9 คน วงน้ำชา-กาแฟตอนเช้าก็มีการพูดถึงกับวลี “พูดแล้วทำ” และเกิดการเปรียบเทียบกับบางพรรค “มีแต่พูด แล้วไม่ทำ” ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร และแกนนำพรรคมีแรงใจ และมุ่งมั่นเดินสายพบปะประชาชนถี่ยิบ พร้อมทีมยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่ง