นครปฐม-กลับมาอีกครั้ง กับงาน “ทิ้งกระจาด”วัดไผ่ล้อม
ภาพ-ข่าว:พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน)
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน ในแต่ละปีที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม จะจัดประเพณีทิ้งกระจาดเป็นประจำ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพวิญญาณทั้งหลาย โดยเฉพาะวิญญาณไร้ญาติตามคตินิยมอย่างจีน และเป็นการบำเพ็ญทานบารมี โดยจะจัดขึ้นในเทศกาลสารทจีน แต่ละปีก็จะมีผู้มีจิตศรัทธามาร่วมบุญกันในงานนี้ ไม่ว่าจะมาเป็นปัจจัย มาเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง ข้าวของเครื่องใช้ สำหรับบริจาคทาน หรือมาร่วมงาน ร่วมด้วยช่วยกันแจกทาน ซึ่งในแต่ละครั้งจะมีผู้มาขอรับข้าวสารอาหารแห้งเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเต็มลานวัดไปหมด กว่าจะแจกหมดก็กินเวลาหลายชั่วโมง แต่เสร็จแล้วทุกคนต่างอิ่มบุญอิ่มใจไปด้วยกัน ผู้ได้รับก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ได้ข้าวปลาอาหารพอกินไประยะหนึ่ง เป็นการต่อชีวิตแก่ผู้ยากไร้ เป็นมหากุศล งานทิ้งกระจาดนี้วัดไผ่ล้อมได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเมื่อมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จึงเว้นการจัดไป ปีนี้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จึงกลับมาจัดงานทิ้งกระจาดอีกครั้ง
การทิ้งกระจาดเป็นประเพณีจีน เรียกว่า ซีโกว หรือ โพวโต่ว หรืออูหลั่งเซ่งหวย แม้เป็นประเพณีจีนแต่ก็มีที่มาจากพุทธศาสนา ซึ่งจีนก็นับถือพุทธศาสนามาช้านาน คนจีนอธิบายว่า การทิ้งกระจาดมาจากพระสูตรมหายาน ความว่า ครั้งนั้นพระอานนท์กำลังบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ มีอสุรกายตนหนึ่ง ชื่อ อัคนีชวาลมุขเปรต ปรากฏกายขึ้น อัคนีชวาลมุขเปรตนี้ ก็มีลักษณะแบบเปรตเลย ตัวสูงใหญ่ ผอมหนังหุ้มกระดูก คอเท่าเข็ม มีเปลวไฟออกจากปาก ตามชื่อเปรตตนนี้เลย (ปากมีเปลวเพลิงโชติช่วง) อัคนีชวาลมุขเปรตกล่าวแก่พระอานนท์ว่า ท่านจะมรณภาพในสามวัน แล้วจากนั้นท่านจะไปเกิดในภพเปรต ต้องทนทุกข์เพราะหิวโหย หากท่านประสงค์จะมีชีวิตยืนยาว ก็ขอให้ท่านทำบุญทำทานอุทิศแก่ฝูงเปรตทั้งหลาย แล้วอัคนีชวาลมุขเปรตก็หายตัวไป
พระอานนท์ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้บรรลุธรรมอย่างถึงที่สุด ก็เกิดความหวาดกลัว ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ก็จึงเล่าย้อนความหลังไปว่า ในสมัยที่พระองค์ยังไม่ได้เสวยพระชาติเป็นพระพุทธเจ้า ยังเป็นพระโพธิสัตว์ อยู่ในสำนักของพระอวโลกิเตศวร (กวนอิม) พระอวโลกิเตศวรได้กล่าวถึงการทำโยคเปรตพลี อุทิศสิ่งของของบริโภคแก่ฝูงเปรตอยู่เสมอ และอัคนีชวาลมุขเปรตที่พระอานนท์พบนั้น แท้จริงแล้วก็คือร่างเนรมิตของพระอวโลกิเตศวรนั่นเอง เพื่อเป็นอุบายให้พระอานนท์ได้มาพบ และเป็นเหตุให้พระองค์แสดงธรรมเรื่องการทำกุศลอุทิศแก่ฝูงเปรต เมื่อพระอานนท์เข้าใจดังนี้แล้ว จึงปฏิบัติตามที่พระองค์ได้แสดงธรรมทุกประการ และพระอานนท์ก็ได้รับอานิสงส์ครบถ้วนตามที่ทำไว้ (ตามประวัติ พระอานนท์มรณภาพหลังจากพระพุทธเจ้านานพอสมควร ถือว่าเป็นพระมหาเถระที่มีอายุยืนยาวมาก)
ความในพระสูตรเรื่องอัคนีชวาลมุขเปรตนี้ จึงเป็นที่มาของการทิ้งกระจาด เพราะว่าผู้ที่ได้ทำนั้นย่อมได้รับอานิสงส์สำคัญ คือ มีอายุยืนยาว และได้ทานบารมี เป็นที่นิยมทำกันมาก ตามประเพณีนิยมแล้ว จะตั้งโรงพิธี ตั้งเครื่องบูชาพระอวโลกิเตศวร และเครื่องเซ่นดวงวิญญาณไร้ญาติให้มารับเอาส่วนกุศล ข้าวของที่นำมาเซ่นและเป็นทานนั้น นอกจากจะมาจากเจ้าภาพซึ่งมักจะทำกันทีละมาก ๆ ตามกำลังที่เจ้าภาพพอจะทำได้แล้ว ก็ได้จากผู้คนในชุมชนนั้น ๆ แบ่งออกมาเป็นทาน ให้ไว้แก่ผู้ที่มารับข้าวของไปทำพิธี การทิ้งกระจาดในสังคมจีนจึงเป็นกิจกรรมร่วมกันของคนในชุมชน เป็นพลังทานบารมีที่ทุกคนได้ร่วมกันทำ สมัยหลังมาก็อาจให้เป็นเงิน เพื่อให้ผู้จัดพิธีนำไปจัดซื้อข้าวของมาเซ่นไหว้และแจกเป็นทาน
เวลาแจกทาน สมัยก่อนเขาใช้การทิ้งลงมาจากหอสูงจริง ๆ ก็เลยเรียกว่า ทิ้งกระจาด คนไทยเรียกตามที่พบเห็น เพราะว่าของเซ่นฝูงเปรตนั้นตั้งไว้บนหอสูง วางไว้บนกระจาดที่สานด้วยตอก พอถึงเวลาจะแจกทาน ก็โยนทิ้งลงมาจากหอสูงนั้น คนที่รอรับทานก็แย่งกันรับ แต่ว่าถ้าทิ้งแบบนั้น มันวุ่นวาย ชุลมุน หัวชนกันหัวแตก ก็เลยไม่ได้ทิ้งกันแบบนั้นแล้ว เปลี่ยนเป็นการแจกการรับอย่างเป็นระเบียบ แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังเรียกว่า ทิ้งกระจาด มาจนถึงทุกวันนี้
การทำทิ้งกระจาดนี้ ทำให้อาตมานึกถึงตนเองในสมัยยังเป็นเด็ก สมัยนั้นความเป็นอยู่ก็เรียกได้ว่ายากจน เป็นเด็กสลัม เลี้ยงชีพให้พอยาไส้ พอมีข่าวว่าที่ไหนมีงานทิ้งกระจาด โยมแม่ของอาตมาก็จะพาอาตมาไปงานทิ้งกระจาด เพื่อไปรับทานที่เขาแจกอยู่เป็นประจำ ก็ช่วย ๆ กันขนของที่ได้กลับมาบ้าน เป็นของช่วยประทังชีวิตไปได้ ดังนั้น เมื่ออาตมามีโอกาส อาตมาก็จึงให้จัดพิธีทิ้งกระจาดที่วัดไผ่ล้อมนี้เช่นเดียวกับที่อาตมาเคยได้รับ เพราะอาตมาเข้าใจดีว่า การได้รับของเหล่านี้ ทำให้ผู้รับมีความสุข มีเสบียงไว้เลี้ยงชีวิตต่อไป เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขาเป็นอย่างมาก
การทำบุญด้วยการแจกทานนี้ เป็นบุญอย่างหนึ่งที่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ แม้องค์แห่งบุญ ทาน ศีล ภาวนา นั้น ท่านจะยกย่องภาวนาเพียงไรว่าได้บุญมาก แต่การทำบุญทำบารมีจะขาดทาน และศีลไปไม่ได้เลย บุญคนเราจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ด้วยการบำเพ็ญบารมีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้งสามด้าน มิฉะนั้น ภาวนาไปขนาดไหนก็ไม่มีบารมีตรงอื่นมาเป็นกำลัง และการทำทานบารมีนั้นก็ไม่ได้จำกัดแค่ทำแก่มนุษย์ การทำแก่เหล่าเปรต สัมภเวสี ก็เป็นทานใหญ่ เพราะสรรพวิญญาณเหล่านี้ย่อมต้องการส่วนบุญส่วนกุศล มีความทุกข์ทรมานจากวิบากในภพภูมิของตน และจะแก้ไขอะไรด้วยตนเองก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในขณะนั้น การที่เราได้อุทิศส่วนกุศลแก่เหล่าเปรต สัมภเวสี อสุรกาย ดวงจิตวิญญาณในอบายภูมิ ก็เป็นมหากุศลอีกประการหนึ่งที่คนเราไม่ควรมองข้าม
สำหรับปีนี้ วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม จะจัดพิธีทิ้งกระจาดในวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566 เวลา 14.09 น. จึงขอประชาสัมพันธ์แก่สาธุชน ศิษยานุศิษย์ทุกท่าน ให้ได้ร่วมบุญนี้โดยพร้อมเพรียงกัน ขอเจริญพร