อำนาจเจริญ-เจ้าอาวาสวัดผวานอนไม่หลับ ย้ายจุดจำวัดทุกคืน หลังให้ข่าวมิฉาชีพปล้นบุญกฐิน..!!
ภาพ-ข่าว:ทิพกร หวานอ่อน
เปิดใจกล้องวงจรปิดในวัดหาย 2 ตัวแล้ว ทนายชี้คนร้ายอาจเป็นคนใกล้ตัวที่รู้จักกับทางวัดเป็นอย่างดี
จากกรณีที่พระครูกมล วัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดป่าทองสมร ต.รัตนวารี อ.หัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ จัดงาน กฐิน ขึ้นที่วัด เพื่อจะนำเงินมาก่อสร้างอุโบสถ ให้แล้วเสร็จซึ่ งหลังจากเสร็จสิ้นงานกฐิน ได้มีแก๊งมิจฉาชีพ โทรมาหลอก ให้โอนเวินจำนวน 50,000 บาท โดยอ้างตัวว่า เป็นอดีต สส .ชื่อดัง ที่เคยมาบริจาคเงินช่วยเหลือวัดนี้มาก่อน
เจ้าอาวาสวัดดังกล่าว หลงเชื่อใจโดยสนิท ตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพดังกล่าว และได้โอนเงินให้ ไปเป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท และให้โอนเงินพอมาเพิ่มอีก 30,000 บาท มาพักหลัง ถึงทราบว่าเป็นแก๊งมิจฉาชีพ จึงนำความเข้าแจ้งกับความกับตำรวจ ที่ สภ. หัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ เพื่อให้ติดตามตัวคนร้าย มาดำเนินคดี และคืนเงินทางวัด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น จนถึงขนาดนี้ คนร้ายที่ยักยอกเงินวัดไปยังลอยนวลอยู่ ยิ่งวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ให้ด้วยเพราะเจ้าอาวาดคิดหนักถึงกับนอนไม่หลับเพราะเป็นเงินที่ชาวพุทธมาร่วมทำบุญเพื่อสร้างอะโอสถมุมหลังคาให้แล้วเสร็จ
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 พระครูกมล วัฒนาทร เจ้าอาวาสวัดป่าทองสมร ตำบลรัตนวารี อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า หลังจากที่ ที่อาตมา โดนแก๊งมิจฉาชีพ หลอกให้โอนเงิน จำนวน 50,000 บาท เพื่อเป็นค่ารถ ในการที่จะนำ สิ่งของต่างๆมาบริจาคให้กับทางวัด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
อาตมาคิดมาก นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะเป็นเงิน ของญาติโยม ที่มาบริจาคเพื่อสร้างอุโบสถให้แล้วเสร็จ แล้วหลังจากนั้น ได้มีมือดี เข้ามาขโมยกล้องวงจรปิด ภายในวัด ไปอีก 2 ตัว ยังจับคนร้ายไม่ได้ แต่ละคืน อาตมา จะหวาดกลัว หวาดผวา คนร้าย ที่ มา ทำไม่ดีไม่ร้ายกับอาตมา เนื่องจากอาตมา ให้ข่าว ว่าทางวัด ถูกหลอกตุ๋นเงิน กฐิน ไปจำนวน 50,000 บาท อาตมาต้องย้ายที่นอน เป็นจุดๆไป แทบทุกคืน จะไม่นอนที่จุดเดิมๆ เพราะเป็นการเซฟตนเอง ป้องกันภัยจากคนร้ายอาจจะมาถึงตัวอาตมาได้
อาตมาขอตั้งจิตอธิษฐานวิงวอน ให้คนร้าย กับเนื้อกับตัว เอาเงินจำนวนดังกล่าว กลับคืนมาให้ทางวัดด้วย อาตมาจะได้สบายใจ และสิ่งต่างๆก็จะไม่เป็นบาป ติดตัวกับผู้ที่ มาหลอกลวงอาตมาในครั้งนี้ หากยังไม่เอามาคืน บาปกรรมก็จะตกอยู่กับโยม ที่หลอกลวงให้อาตมาโอนเงินให้ ซึ่งบาปจะติดตัวโยม ไปถึง วันสุดท้าย ก็คือวันตายของโยมนั่นแหละ โยมจะไม่มีความสุข โยมจะมีแต่ความทุกข์ ทุรนทุราย ในชีวิต ไปตลอดกาล แต่ถ้าโยมคิดได้ นำมาคืนทางวัด ก็จะเป็นการผ่อนหนักเป็นเบา บาปต่างๆ ก็จะค่อยๆจางหายไปหากโยมกับตัวกลับใจเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนคนอื่น สิ่งดีๆ จะเข้ามาหาตัวโยม การคิดผิด ทำผิด หากรู้ตัว กับตัวกลับใจมาเป็นคนดี โยมก็จะมีแต่ความสุขคสามเจริญในชีวิต เจริญพร
นายจำรัส..ไกยสิทธิ์ทนายความดังจังหวัดอำนาจเจริญกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าคดีนี้หลังจากสื่อมวลชนนำเสนอข่าวไปแล้วนั้นเหตุเกิดวันที่26ตุลาคม2567ได้มีผู้ศรัทธาต่อศาสนาได้โทรศัพท์มาสอบถามเป็นจำนวนมากว่าคดีจับคนร้ายได้หรือย้งในฐานะทนายความที่ได้ลงพื้นที่ๆวัดว่ามีเบื้องหลังว่ามีอดีตสส.(ขอสงวนนาม)มาเกี่ยวข้องก็น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจพอสมควรแต่อย่างไรก็ตามขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาให้ได้ ประชาชนให้กำลังใจอยู่แล้วขอให้จับคนร้ายให้ได้เพราะหลักฐานชัดเจน
ตามบันทึกการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเรื่องนี้ถ้าจับนายมนตรี(ขอสงวนนามสกุล)ได้ทุกอย่างคลี่คล้ายเพราะโอนเงินเข้าบัญชีนายมนตรีส่วนนายมนตรีจะกล่าวถึงใครหรือไม่อยู่ที่การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนเป็นห่วงพระครูกมลฯเจ้าอาวาสวัดเรื่องความปลอดภัยเป็นที่น่าสังเกตุมีทรัพย์สินของวัดหายเป็นการขโมยกล้องวงจรปิดหายจากวัดไป 2 ตัว นายจำรัส ไกยสิทธิ์ยังกล่าวอีกว่า “ยากได้มันบ่ได้..บ่ยากได้มันได้”ชึ่งเป็นธรรมนิมิตของหลวงปู่ชาที่อบรมญาติโยมและผู้กล่าวยังกล่าวอีกว่ากรรมมันติดจรวดเห็นทันตาไม่ต้องรอชาติหน้าคนร้ายไม่เกรงกลัวต่อบาปไม่ระอายต่อบาปเช่นนี้ตำรวจต้องจับตัวมาลงโทษได้อย่างแน่นอน
ทางด้านนางสาวอิงค์ณภัจฉร์ ชินวัตรนุวงศ์ ประธานชมรมรักษ์พุทธศาสน์นานาชาติ ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ในช่วงทำบุญกฐินประจำปีขอฝากให้กับเจ้าอาวาสศิษย์ยานุศิษย์และไวยาวัจกร ทุกๆวัดได้มีความระมัดระวังในการถูกแอบอ้างไม่ว่าจะนักการเมืองหรือผู้มีชื่อเสียงหรือคหบดีใดๆก็ตามที่อ้างว่าจะนำสิ่งของนำปัจจัยมาถวายแล้วให้ทางวัดโอนเงินไปให้เป็นค่ารถก่อน แล้วจะมาคืนให้วันมาถวายของที่วัด ขอให้ระมัดระวังอย่างเต็มที่ การเข้ามาหลอกลวงเอาเงินวัด
อย่างในกรณี ดังกล่าว การสืบหาคนผิดมาลงโทษและนำเงินมาคืนทางวัดนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย สามารถกระทำได้ซึ่งมีพยานหลักฐาน ชัดเจนอยู่แล้ว หากว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถนำคนผิดมา ลงโทษ หรือนำเงิน มาคืนให้กับทางวัดได้เจ้าอาวาสแลองค์กรชาวพุทธจะได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องไปยังตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อลงมาช่วยกำกับดูแล การทำงานในครั้งนี้เป็นอีกช่องทางหนึ่งจะได้ช่วยกันอีกแรงเพราะตนสงสารทางวัดที่ตกเป็นเหยื่อแก้งมิจฉาชีพเหล่านี้