สระแก้ว-กองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท บ้านทับประดู่ ยุคไทยแลนด์ 4.0 ไม่มีคำว่าจน
ภาพ/ข่าว:สวาท เกตุงาม
ในยุคเกษตรกรรม ชาวไทยจะปลูกข้าวเป็นหลัก เป็นอาชีพที่ชาวนาไทยถูกเอารัดเอาเปรียบ จากนายทุนมาโดยตลอด โดยชาวนาไม่มีโอกาสได้กำหนดราคาขึ้นมาเอง ทำให้ผู้ประกอบอาชีพทำนา มีฐานะยากจนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถึงยุคไทยแลนด์ 4.0 และเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เชื่อว่าคนไทย ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร นักธุรกิจ และอาชีพอื่น ๆ จะพัฒนาตนเอง สร้างรายได้ เลี้ยงครอบครัวอย่างยั่งยืน และเชื่อว่าจะไม่มีคนจนอีกต่อไป จริงหรือไม่ ไปดูกลุ่มกองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท บ้านทับประดู่ เขาทำอย่างไรจึงหายจากความจน
“กิตติศักดิ์ พิมพิลา” ประธานกองทุนหมู่บ้านทับประดู่ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 203 หมู่ 10 บ้านทับประดู่ ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ. สระแก้ว เล่าว่า หลังจากรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ เป็นกองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โดย นายสมควร พิลึก ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 10 บ้านทับประดู่ ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ร่วมกับพัฒนาการอำเภอวัฒนานคร ได้ประชุม ผู้นำหมู่บ้าน เพื่อชี้แจงแนวทางปฏิบัติ เกี่ยวกับการลงทุน การกู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้าน การสมัครสมาชิกเพื่อการลงทุนประกอบอาชีพ และฝึกการเขียนโครงการเพื่อการลงทุน จากนั้น ผู้ใหญ่บ้านได้ประชุมลูกบ้าน พร้อมสมัครสมาชิก และการฝากเงินออมทรัพย์ ของกองทุน เมื่อฝากเงินออมทรัพย์ ครบ 1 ปี สมาชิกจึงจะสามารถกู้เงินจากเงินกองทุนหมู่บ้านได้ รายละไม่เกิน 30,000 บาท
“แต่เดิมครอบครัวประกอบอาชีพทำนา แต่ประสบปัญหาภัยแล้งเกือบทุกปี หากปีใด ทำนาได้ผลบ้าง จะประสบปัญหาข้าวราคาตกต่ำ ต่อมาเมื่อปี 2560 ทางรัฐบาลได้มีโครงการ เงินช่วยเหลือเกษตรกร ให้กู้ยืม ตามโครงการ กองทุนหมู่บ้าน มอบให้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท นำมาบริหารจัดการกันเองภายในหมู่บ้าน จากนั้น จึงได้จัดทำโครงการ ปลูกพืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ เมื่อคณะกรรมการเห็นชอบให้กู้ยืมแล้ว จึงได้กู้เงินมาครั้งแรกจำนวน 30,000 บาท นำมาเป็นทุน ในการขุดสระน้ำ จัดหาพันธุ์พืชมาปลูก และหาพันธุ์ปลามาเลี้ยง
หลังจากนำเงินที่กู้ได้ จำนวน 30,000 บาท ใช้เป็นค่าจ้างขุดสระ ส่วนหนึ่งนำไปซื้อกิ่งพันธุ์ชะอม กับไผ่หวาน โดยปลูกชะอม จำนวน 1 ไร่ เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี สามารถเก็บยอดชะอมได้วันละ ไม่ต่ำกว่า 10 กิโลกรัม ไปขายได้ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท เมื่อฤดูแล้ง จะมีราคาถึงกิโลกรัมละ 400 บาท จะมีรายได้จากการขายยอดชะอม วันละ 1,000 – 4,000 บาท
นอกจากจะปลูกชะอมแล้ว ยังปลูกไผ่หวานอีกด้วย โดยปีแรก ปลูกไผ่หวานจำนวน 5 ไร่ ในปีต่อมาปลูกเพิ่มอีก 10 ไร่ รวมเป็น 15 ไร่ สามารถเก็บหน่อได้ตลอดปี และเก็บได้ครั้งละ 200 – 250 กิโลกรัม ขายในราคา กิโลกรัมละ 45-50 บาท แต่ละปีจะมีรายได้จากเก็บหน่อไม้ขาย ประมาณ 5 แสนบาท หักต้นทุน ประมาณ 1 แสนบาท เหลือ 4 แสนบาท
หลังจาก ปลูกชะอม ปลูกไผ่หวาน ได้รับความสำเร็จ ต่อมารัฐบาลได้มีโครงการโคบาลบูรพา มอบแม่พันธุ์วัว ให้กับเกษตรกรที่เข้าโครงการรายละ 5 ตัว โดยมีการบริหารจัดการในรูปของสหกรณ์ โดยตั้งชื่อว่า สหกรณ์ปศุสัตว์โคบาลบูรพา วัฒนานคร จำกัด มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 1,000 คน
สำหรับโครงการโคบาลบูรพา ได้รวมกลุ่มกับสมาชิก นำมาเลี้ยงรวมกันเป็นคอกใหญ่ เพื่อผลัดเปลี่ยนสมาชิกดูแล ปัจจุบัน มีวัว ทั้งสิ้น 75 ตัว ออกลูกแล้ว 4 ตัว โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าได้ลูกเป็นตัวเมีย ตัวแรก จะคืนให้กับโครงการ เพื่อนำไปแจกให้กับสมาชิกรายอื่นต่อไป
“สมชาย พิมพิลา” อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 181 หมู่ 10 บ้านทับประดู่ ต.ท่าเกวียน กล่าวว่า เป็นสมาชิก กองทุนหมู่บ้านทับประดู่ เป็นเกษตรกรชาวนา ที่ทำนาทุกปี แต่ไม่มีเงินเก็บ เงินไม่พอใช้หนี้ ต่อมาเมื่อมีโครงการ เงินกองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท ได้กู้มาลงทุนปลูกไผ่หวาน ครั้งแรก จำนวน 30,000 บาท เมื่อคืนเงินให้กับโครงการหมด ก็สามารถกู้ยืมใหม่ได้อีก เพื่อต่อยอดในการลงทุน และสามารถกู้ได้ทุกปี ดังนั้น เงินกองทุนหมู่บ้าน 1 ล้านบาท มีการบริหารจัดการที่ดี และสมาชิกทุกคนเคารพกติกา สามารถส่งเสริมให้เกษตรกร และสมาชิกกลุ่ม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ อย่างยั่งยืนอีกด้วย
ด้าน นาย กิตติศักดิ์ พิมพิลา ประธานกลุ่มฯ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่เกษตรกรต้องการเพิ่มเติมสำหรับโครงการโคบาลบูรพา คือ ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเกษตรกร ปลอดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 3 ปี และการส่งคืนลูกวัว ควรจะเริ่มต้นที่ ปีที่ 3 เพราะวัวที่นำมาเลี้ยง หลายตัวยังไม่พร้อมที่จะมีลูก ปีแรกต้องนำวัวแม่พันธุ์มาเลี้ยงให้สมบูรณ์ พร้อมที่จะมีลูก ในปีที่ 2 ตั้งท้อง และเริ่มเข้าปีที่ 3 แม่วัวจึงจะออกลูกได้ ดังนั้น เกษตรกร จึงต้องการให้โครงการยืดระยะเวลาส่งลูกวัวไปถึงปี 2563 เกษตรกร จึงสามารถส่งลูกวัวคนให้กับโครงการได้
สามารถติดตามข่าวสารอื่นๆได้ก่อนใครที่ https://www.siameagle.com
หรือ https://www.facebook.com/siameaglenews/